เรือนส้ม (อังกฤษ: Orangery,ออกเสียง) คือสิ่งก่อสร้างที่มักจะพบภายในบริเวณเนื้อที่ของคฤหาสน์หรือวังใหญ่โตของคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึง 19 ที่เป็นการเสริมสร้างให้สิ่งก่อสร้างทั้งหมดมีลักษณะเป็นแบบคลาสสิก เรือนส้มมีลักษณะคล้ายกับ หรือ (Conservatory) ชื่อของสิ่งก่อสร้างสะท้อนถึงที่มาที่เดิมเป็นสิ่งก่อสร้างใช้เป็นเรือนสำหรับปลูกพืชตระกูลส้ม ที่มักจะปลูกในกระถางที่จะเลื่อนเข้ามาเก็บไว้ในเรือนในช่วงฤดูหนาวเพื่อให้รอดจากความหนาวเย็นและการแข็งตัวจากภาวะอากาศภายนอก และก็มิได้หวังที่จะได้ดอกหรือผล เรือนส้มเป็นเรือนที่ช่วยยืดการมีพรรณไม้นอกฤดูของเวลาที่ปกติแล้วภายนอกจะมีก็แต่ต้นไม้ที่ปราศจากใบ เพราะไม้ภายในเรือนจะได้รับการปกป้องจากภาวะอากาศและยังคงมีความอบอุ่นที่ได้รับจากกำแพงที่ทำด้วยอิฐที่อมความร้อน ร้อยปีหลังจากที่มีการปลูกต้นส้ม และ มะนาว ก็เริ่มมีการปลูกพันธุ์ไม้ชนิดอื่นที่ไม่สามารถทนอากาศในฤดูหนาวภายนอกได้ที่รวมทั้งไม้พุ่ม และ (Exotic plants) กันในเรือนส้ม ที่มีการใช้เตาทำความร้อนเพื่อสร้างความอบอุ่นภายในเรือนระหว่างฤดูหนาวที่มีอากาศเยือกเย็นทางตอนเหนือของยุโรป
เรือนส้มเริ่มขึ้นในสมัยการสร้างสวนเรอเนสซองซ์ในอิตาลี เมื่อเทคนิคการทำกระจกมีความก้าวหน้าขึ้นจนสามารถที่จะสร้างกระจกที่มีขนาดใหญ่และใสขึ้นกว่าเดิมได้ ทางตอนเหนือของยุโรปเนเธอร์แลนด์เป็นผู้นำในการวิวัฒนาการการสร้างกระจกขนาดใหญ่สำหรับสร้างหน้าต่าง/ผนังเรือนส้ม ภาพพิมพ์เรือนส้มในคู่มือของดัตช์แสดงภาพเรือนส้มที่มีหลังคาทึบทั้งแบบคานและโค้ง และจะมีเตาสำหรับทำความร้อน แทนที่จะเป็นการก่อกองไฟ ไม่นานนักเรือนส้มก็กลายเป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะในบรรดาผู้มีฐานะมั่งคั่ง ส่วนหลังคากระจกของเรือนส้มที่ช่วยเพิ่มแสงแดดที่ส่องเข้ามาในอาคารเป็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เรือนส้มที่ในกลอสเตอร์เชอร์ที่เดิมสร้างราวปี ค.ศ. 1702 ที่มีหลังคาที่ปูด้วยหินชนวน มาเปลี่ยนเป็นหลังคากระจกราวหนึ่งร้อยปีต่อมาหลังจากที่นักออกแบบสวนภูมิทัศน์เปรยว่าออกจะมืด แม้ว่าเดิมจะสร้างเพื่อปกป้องต้นส้มแต่ในปัจจุบันก็มักจะเรียกกันแต่เพียงว่า “เรือนกระจก” เท่านั้น
เรือนส้มของพระราชวังลูฟร์ที่สร้างในปี ค.ศ. 1617 เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบเรือนส้มที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปโดยสถาปนิกฌูลส์ อาร์ดวง-มองซาร์แก่ต้นส้ม 3000 ต้นของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พระราชวังแวร์ซายส์ ที่มีขนาด 508 x 42 ฟุต เรือนส้มหลังนี้ไม่มีผู้ใดเทียมได้มาจนกระทั่งถึงการสร้างเรือนกระจกสมัยใหม่ในคริสต์ทศวรรษ 1840 ของโจเซฟ แพกซ์ตันผู้ออกแบบวังแก้ว และ “มหาเรือนกระจก” ที่ซึ่งเป็นเรือนส้มและเรือนกระจกอันมีขนาดมหึมา
เรือนส้มไม่แต่จะเป็นเรือนกระจกเท่านั้นแต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความมีหน้ามีตาและความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของด้วย เรือนส้มจะเป็นสิ่งตกแต่งเด่นของสวน เช่นเดียวกับ (summer house), สิ่งก่อสร้างตกแต่ง หรือ “เทวสถานกรีก” ผู้เป็นเจ้าของก็มักจะนำแขกเที่ยวชมสวนที่ไม่เพียงชื่นชมกับผลไม้ภายในเรือนส้มเท่านั้นแต่ยังชื่นชมกับสถาปัตยกรรมภายนอกด้วย ภายในเรือนส้มก็มักจะมีน้ำพุ, ถ้ำ และ บริเวณสำหรับนั่งเล่นพักผ่อนเมื่ออากาศภายนอกไม่ดีนัก
ตัวอย่างสมัยแรก
เรือนส้มแรกเริ่มสร้างกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1545 ที่ปาดัวในอิตาลี เรือนส้มหลังแรกในสมัยแรกมิได้เป็นสิ่งก่อสร้างที่ออกแบบอย่างดี หรืออย่างวิจิตรเท่าใดนักดังเช่นในสมัยต่อมา ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นเรือนที่ไม่มีระบบทำความร้อน ถ้าอากาศเย็นก็อาจจะก่อกองไฟเพื่อสร้างความอบอุ่นภายในเรือน
ในอังกฤษ นักพฤกษศาสตร์เป็นผู้เผยแพร่เรื่องเรือนส้มแก่ผู้อ่านในหนังสือ “Paradisus in Sole” (ค.ศ. 1628) ภายใต้หัวข้อ “ต้นส้ม ” ที่ให้คำแนะนำว่าการปลูกต้นส้มอาจจะทำได้โดยการปลูกติดกับกำแพงที่ทำด้วยอิฐและคลุมเอาไว้ระหว่างฤดูหนาวด้วยแผ่นที่คลุมด้วย “cerecloth” ซึ่งเป็นผ้าที่เคลือบด้วยขี้ผึ้งคล้ายกับผ้าใบกันน้ำ (tarpaulin) ต่อมา “...บ้างก็เก็บรักษาไว้ในกล่องสี่เหลี่ยมใหญ่ และยกเข้ายกออกด้วยตะขอเหล็กที่แขวนไว้ข้างๆ หรือเลื่อนไปมาบนกระถางที่มีล้อ เอาไปตั้งไว้ในบ้านหรือในระเบียงที่ปิดจากอากาศภายนอก”
การสร้างเรือนส้มมานิยมกันอย่างแพร่หลายหลังจากการยุติของสงครามแปดสิบปี ในปี ค.ศ. 1648 ประเทศที่เริ่มแนวนิยมคือฝรั่งเศส, เยอรมนี และ เนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีการนำต้นไม้จากเมืองร้อน เช่น ส้ม, กล้วย และทับทิมเป็นจำนวนมากเข้ามาประเทศเพื่อนำมาปลูกเพื่อความสวยงาม
เรือนส้มบนแผ่นดินใหญ่ยุโรป
- พระราชวังแวร์ซายส์,
- , เรือนส้มในสวนทุยเลอรีส์, ปารีส
- พระราชวังเชินบรุนน์, เวียนนา
- , Bolshaya Kamennya Oranzhereya
- , Bolshaya Oranzhereya (1762, 1820)
- , มอสโก, Oranzhereya
- พ็อทซ์ดัม, วังส้ม
- , เรือนส้มของ (ราว ค.ศ. 1820)
- , เรือนส้ม
- , เรือนส้ม
- คาสเซิล, เรือนส้ม
- , เรือนส้ม และ สวนครัว
- สตราสบวร์ก, อุทยานเรือนส้ม
- ฮานโนเฟอร์, ส่วนหนึ่งของ
เรือนส้มในสหราชอาณาจักร
เรือนส้มที่พระราชวังเค็นซิงตัน (ค.ศ. 1761) เป็นเรือนส้มเก่าที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ที่ออกแบบโดยเซอร์ เรือนส้มนี้มีความยาวถึง 28 เมตรซึ่งทำให้เป็นเรือนส้มที่ใหญ่ที่สุดเมื่อทำการสร้าง แม้ว่าจะออกแบบให้เป็นซุ้มอาร์เคดที่ตอนปลายเป็นศาลาสำหรับต้นส้ม แต่ระดับแสงภายใต้หลังคาที่ทึบน้อยเกินกว่าที่จะปลูกส้มได้ดี
เรือนส้มที่ในเวลส์สร้างระหว่าง ค.ศ. 1787 ถึง ค.ศ. 1793 เพื่อปลูกต้นส้ม, มะนาว และ ผลไม้ตระกูลส้มจำนวนมากที่ทอมัส แมนเซล ทาลบ็อทได้รับมา ตัวบ้านวอดวายไปกับเพลิงไหม้ แต่เรือนส้มที่มีความยาว 100 เมตรยังคงอยู่ซึ่งเป็นเรือนส้มที่ยาวที่สุดในเวลส์
เรือนส้มที่เก่าแก่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งคือเรือนส้มที่ในลอนดอนที่สร้างราวปี ค.ศ. 1700 ที่สร้างก่อนหน้าเรือนส้มที่คฤหาสน์มองตาคิวท์เล็กน้อย เรือนส้มอื่นที่อยู่ในความดูแลของก็ได้แก่เรือนส้มอื่นที่ในลอนดอน; ในซัฟโฟล์คที่เป็นส่วนหนึ่งของสวนหน้าปีกที่ใช้เป็นที่พำนัก; ในที่เป็นศูนย์กลางของลานหลั่นของปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18; ในเดวอนที่อาจจะออกแบบโดยโรเบิร์ต อาดัมและเรือนส้มที่ในนอร์โฟล์ค
เรือนส้มที่ก่อสร้างเมื่อไม่นานมานี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1970 โดยวิคเตอร์ มองตากิวในสวนแบบอิตาลีที่แม็พเพอร์ทันในดอร์เซ็ท
เรือนส้มในสหรัฐอเมริกา
ในสหรัฐอเมริกาเรือนส้มเก่าแก่ที่สุดคือเรือนส้มของคฤหาสน์เทย์โลในเวอร์จิเนียแต่ในปัจจุบันถูกทิ้งให้รกร้างเหลือแต่ซากเท่านั้น หรือที่คฤหาสน์ไอร์ในเวอร์จิเนียก็เช่นกัน
แต่เรือนส้มที่น่าสนใจกว่านั้นคือหลังที่สร้างเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ที่ในแมริแลนด์ ตัวเรือนส้มที่ตั้งอยู่หลังคฤหาสน์ประกอบด้วยห้องโถงใหญ่และปีกเล็กสองข้างที่มาต่อเติมภายหลัง ผนังที่หันหน้าไปทางทิศใต้ (south-facing wall) เป็นหน้าต่างสามชั้น มิซทิลห์มันผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลลอยด์ผู้เป็นผู้พำนักอยู่ที่คฤหาสน์ในปัจจุบันกล่าวว่าชั้นสองต่อเติมขึ้นเพื่อใช้เป็นห้องบิลเลียด นอกจากนั้นไร่ (Plantation) นี้ก็ยังมีความสำคัญตรงที่เคยเป็นที่อาศัยของเฟรเดอริค ดักลาสเมื่อยังเป็นทาสสมัยเด็ก
มิซทิลห์มันกล่าวว่าเรือนส้มยังคงใช้เป็นที่เก็บรักษาต้นไม้ในช่วงฤดูหนาว แต่โครงสร้างได้รับการเปลี่ยนแปลงในใช้สำหรับปลูกพันธ์ไม้ในบ้าน (houseplants) ได้ด้วย และโครงสร้างทั้งหมดปกคลุมด้วยพลาสติกเพื่อรักษาระดับความชื้น ซึ่งทำให้ไม่ต้องรดน้ำตลอดฤดูหนาว
เรือนส้มอีกหลังหนึ่งตั้งอยู่ที่ในแมริแลนด์ ที่เดิมสร้างในปี ค.ศ. 1820 เป็นส่วนหนึ่งของการสะสมพืชตระกูลส้มที่ครอบคลุมสปีชีส์หลากหลายที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19
ในคริสต์ทศวรรษ 1980 ก็ได้มีการสร้างเรือนส้มแบบคริสต์ศตวรรษที่ 18 ที่ในแมสซาชูเซตส์
อ้างอิง
- Gervase Markham, in The Whole Art of Husbandry (London 1631) also recommends protecting other delicate fruiting trees— "Orange, Lemon, Pomegranate, Cynamon, Olive, Almond"— in "some low vaulted gallerie adjoining upon the Garden".
- Billie S. Britz, "Environmental Provisions for Plants in Seventeenth-Century Northern Europe" The Journal of the Society of Architectural Historians 33.2 (May 1974:133-144) p 133.
- Britz 1974:134f
- Its columned exterior relates it to the architecture of the house, a feature of orangeries though not of their modern descendents, greenhouses.
- Graham Stewart-Thomas, "Orangeries in the National Trust," Quarterly Newslette of the Garden History Society, 1967:25.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-03-23. สืบค้นเมื่อ 2021-10-09.
- Such precaution against a sheltering south-facing wall was arranged by the architect Salomon de Caus at Heidelberg about 1619, with removable shutters on an unobtrusive permanent frame, according to Britz 1974:134,
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2004-10-25. สืบค้นเมื่อ 2010-02-10.
- The list was given in Stewart-Thomas, loc. cit..
- Note by T. E. C. W. in the Quarterly Newsletter of the Garden History Society .
- Ann Milkovich McKee (2007). Images of America — Hampton National Historic Site. Charleston, SC: Arcadia Publishing. ISBN .
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ เรือนส้ม
- A longer history of the Orangerie
- History of Orangeries
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
bthkhwamnixangxingkhristskrach khristthswrrs khriststwrrs sungepnsarasakhykhxngenuxha eruxnsm xngkvs Orangery xxkesiyng khuxsingkxsrangthimkcaphbphayinbriewnenuxthikhxngkhvhasnhruxwngihyotkhxngkhriststwrrsthi 17 thung 19 thiepnkaresrimsrangihsingkxsrangthnghmdmilksnaepnaebbkhlassik eruxnsmmilksnakhlaykb hrux Conservatory chuxkhxngsingkxsrangsathxnthungthimathiedimepnsingkxsrangichepneruxnsahrbplukphuchtrakulsm thimkcaplukinkrathangthicaeluxnekhamaekbiwineruxninchwngvduhnawephuxihrxdcakkhwamhnaweynaelakaraekhngtwcakphawaxakasphaynxk aelakmiidhwngthicaiddxkhruxphl eruxnsmepneruxnthichwyyudkarmiphrrnimnxkvdukhxngewlathipktiaelwphaynxkcamikaettnimthiprascakib ephraaimphayineruxncaidrbkarpkpxngcakphawaxakasaelayngkhngmikhwamxbxunthiidrbcakkaaephngthithadwyxiththixmkhwamrxn rxypihlngcakthimikarpluktnsm aela manaw kerimmikarplukphnthuimchnidxunthiimsamarththnxakasinvduhnawphaynxkidthirwmthngimphum aela Exotic plants knineruxnsm thimikarichetathakhwamrxnephuxsrangkhwamxbxunphayineruxnrahwangvduhnawthimixakaseyuxkeynthangtxnehnuxkhxngyuorp eruxnsm thithimxsok khristthswrrs 1760 eruxnsm thi wngeruxnsm srangodythiphxthsdmklangkhriststwrrsthi 19 eruxnsm thiinebleyiym raw kh s 1820 epnswnthiekaaekthisudkhxngsungepnkhnadihy eruxnsm thi Harbke ineyxrmni eruxnsmerimkhuninsmykarsrangswnerxenssxngsinxitali emuxethkhnikhkarthakrackmikhwamkawhnakhuncnsamarththicasrangkrackthimikhnadihyaelaiskhunkwaedimid thangtxnehnuxkhxngyuorpenethxraelndepnphunainkarwiwthnakarkarsrangkrackkhnadihysahrbsranghnatang phnngeruxnsm phaphphimpheruxnsminkhumuxkhxngdtchaesdngphapheruxnsmthimihlngkhathubthngaebbkhanaelaokhng aelacamietasahrbthakhwamrxn aethnthicaepnkarkxkxngif imnannkeruxnsmkklayepnsylksnaesdngthanainbrrdaphumithanamngkhng swnhlngkhakrackkhxngeruxnsmthichwyephimaesngaeddthisxngekhamainxakharepnwiwthnakarthiekidkhunemuxtnkhriststwrrsthi 19 eruxnsmthiinklxsetxrechxrthiedimsrangrawpi kh s 1702 thimihlngkhathipudwyhinchnwn maepliynepnhlngkhakrackrawhnungrxypitxmahlngcakthinkxxkaebbswnphumithsneprywaxxkcamud aemwaedimcasrangephuxpkpxngtnsmaetinpccubnkmkcaeriykknaetephiyngwa eruxnkrack ethann eruxnsmkhxngphrarachwnglufrthisranginpi kh s 1617 epnaerngbndalicinkarxxkaebberuxnsmthiihythisudinyuorpodysthapnikchuls xardwng mxngsaraektnsm 3000 tnkhxngphraecahluysthi 14 thiphrarachwngaewrsays thimikhnad 508 x 42 fut eruxnsmhlngniimmiphuidethiymidmacnkrathngthungkarsrangeruxnkracksmyihminkhristthswrrs 1840 khxngocesf aephkstnphuxxkaebbwngaekw aela mhaeruxnkrack thisungepneruxnsmaelaeruxnkrackxnmikhnadmhuma eruxnsmimaetcaepneruxnkrackethannaetyngepnsylksnkhxngkhwammihnamitaaelakhwammngkhngkhxngphuepnecakhxngdwy eruxnsmcaepnsingtkaetngednkhxngswn echnediywkb summer house singkxsrangtkaetng hrux ethwsthankrik phuepnecakhxngkmkcanaaekhkethiywchmswnthiimephiyngchunchmkbphlimphayineruxnsmethannaetyngchunchmkbsthaptykrrmphaynxkdwy phayineruxnsmkmkcaminaphu tha aela briewnsahrbnngelnphkphxnemuxxakasphaynxkimdinktwxyangsmyaerkeruxnsmaerkerimsrangknmatngaetpi kh s 1545 thipadwinxitali eruxnsmhlngaerkinsmyaerkmiidepnsingkxsrangthixxkaebbxyangdi hruxxyangwicitrethaidnkdngechninsmytxma swnihyaelwkcaepneruxnthiimmirabbthakhwamrxn thaxakaseynkxaccakxkxngifephuxsrangkhwamxbxunphayineruxn inxngkvs nkphvkssastrepnphuephyaephreruxngeruxnsmaekphuxaninhnngsux Paradisus in Sole kh s 1628 phayithwkhx tnsm thiihkhaaenanawakarpluktnsmxaccathaidodykarpluktidkbkaaephngthithadwyxithaelakhlumexaiwrahwangvduhnawdwyaephnthikhlumdwy cerecloth sungepnphathiekhluxbdwykhiphungkhlaykbphaibknna tarpaulin txma bangkekbrksaiwinklxngsiehliymihy aelaykekhaykxxkdwytakhxehlkthiaekhwniwkhang hruxeluxnipmabnkrathangthimilx exaiptngiwinbanhruxinraebiyngthipidcakxakasphaynxk karsrangeruxnsmmaniymknxyangaephrhlayhlngcakkaryutikhxngsngkhramaepdsibpi inpi kh s 1648 praethsthierimaenwniymkhuxfrngess eyxrmni aela enethxraelnd sungepnpraethsthimikarnatnimcakemuxngrxn echn sm klwy aelathbthimepncanwnmakekhamapraethsephuxnamaplukephuxkhwamswyngameruxnsmbnaephndinihyyuorpphrarachwngaewrsays eruxnsminswnthuyelxris paris phrarachwngechinbrunn ewiynna Bolshaya Kamennya Oranzhereya Bolshaya Oranzhereya 1762 1820 mxsok Oranzhereya phxthsdm wngsm eruxnsmkhxng raw kh s 1820 eruxnsm eruxnsm khasesil eruxnsm eruxnsm aela swnkhrw strasbwrk xuthyaneruxnsm hanonefxr swnhnungkhxngeruxnsminshrachxanackreruxnsmedimthithilxndxnthipccubnichepnphttakhar eruxnsmthiphrarachwngekhnsingtn kh s 1761 epneruxnsmekathisudthiyngkhnghlngehluxxyuthixxkaebbodyesxr eruxnsmnimikhwamyawthung 28 emtrsungthaihepneruxnsmthiihythisudemuxthakarsrang aemwacaxxkaebbihepnsumxarekhdthitxnplayepnsalasahrbtnsm aetradbaesngphayithlngkhathithubnxyekinkwathicapluksmiddi eruxnsmthiinewlssrangrahwang kh s 1787 thung kh s 1793 ephuxpluktnsm manaw aela phlimtrakulsmcanwnmakthithxms aemnesl thalbxthidrbma twbanwxdwayipkbephlingihm aeteruxnsmthimikhwamyaw 100 emtryngkhngxyusungepneruxnsmthiyawthisudinewls eruxnsmthiekaaekthisudxikaehnghnungkhuxeruxnsmthiinlxndxnthisrangrawpi kh s 1700 thisrangkxnhnaeruxnsmthikhvhasnmxngtakhiwthelknxy eruxnsmxunthixyuinkhwamduaelkhxngkidaekeruxnsmxunthiinlxndxn insfoflkhthiepnswnhnungkhxngswnhnapikthiichepnthiphank inthiepnsunyklangkhxnglanhlnkhxngplaykhriststwrrsthi 18 inedwxnthixaccaxxkaebbodyorebirt xadmaelaeruxnsmthiinnxroflkh eruxnsmthikxsrangemuximnanmanisrangkhuninpi kh s 1970 odywikhetxr mxngtakiwinswnaebbxitalithiaemphephxrthnindxrestheruxnsminshrthxemrikainshrthxemrikaeruxnsmekaaekthisudkhuxeruxnsmkhxngkhvhasnethyolinewxrcieniyaetinpccubnthukthingihrkrangehluxaetsakethann hruxthikhvhasnixrinewxrcieniykechnkn aeteruxnsmthinasnickwannkhuxhlngthisrangemuxtnkhriststwrrsthi 18 thiinaemriaelnd tweruxnsmthitngxyuhlngkhvhasnprakxbdwyhxngothngihyaelapikelksxngkhangthimatxetimphayhlng phnngthihnhnaipthangthisit south facing wall epnhnatangsamchn misthilhmnphusubechuxsaymacaktrakullxydphuepnphuphankxyuthikhvhasninpccubnklawwachnsxngtxetimkhunephuxichepnhxngbileliyd nxkcaknnir Plantation nikyngmikhwamsakhytrngthiekhyepnthixasykhxngefredxrikh dklasemuxyngepnthassmyedk misthilhmnklawwaeruxnsmyngkhngichepnthiekbrksatniminchwngvduhnaw aetokhrngsrangidrbkarepliynaeplnginichsahrbplukphnthiminban houseplants iddwy aelaokhrngsrangthnghmdpkkhlumdwyphlastikephuxrksaradbkhwamchun sungthaihimtxngrdnatlxdvduhnaw eruxnsmxikhlnghnungtngxyuthiinaemriaelnd thiedimsranginpi kh s 1820 epnswnhnungkhxngkarsasmphuchtrakulsmthikhrxbkhlumspichishlakhlaythiihythisudinshrthxemrikainklangkhriststwrrsthi 19 inkhristthswrrs 1980 kidmikarsrangeruxnsmaebbkhriststwrrsthi 18 thiinaemssachuestsxangxingGervase Markham in The Whole Art of Husbandry London 1631 also recommends protecting other delicate fruiting trees Orange Lemon Pomegranate Cynamon Olive Almond in some low vaulted gallerie adjoining upon the Garden Billie S Britz Environmental Provisions for Plants in Seventeenth Century Northern Europe The Journal of the Society of Architectural Historians 33 2 May 1974 133 144 p 133 Britz 1974 134f Its columned exterior relates it to the architecture of the house a feature of orangeries though not of their modern descendents greenhouses Graham Stewart Thomas Orangeries in the National Trust Quarterly Newslette of the Garden History Society 1967 25 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2018 03 23 subkhnemux 2021 10 09 Such precaution against a sheltering south facing wall was arranged by the architect Salomon de Caus at Heidelberg about 1619 with removable shutters on an unobtrusive permanent frame according to Britz 1974 134 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2004 10 25 subkhnemux 2010 02 10 The list was given in Stewart Thomas loc cit Note by T E C W in the Quarterly Newsletter of the Garden History Society Ann Milkovich McKee 2007 Images of America Hampton National Historic Site Charleston SC Arcadia Publishing ISBN 978 0 7385 4418 2 duephimsthaptykrrmbaorkaehlngkhxmulxunwikimiediykhxmmxnsmisuxekiywkb eruxnsm A longer history of the Orangerie History of Orangeries