อะแพโทซอรัส (อังกฤษ: Apatosaurus, /əˌpætəˈsɔːrəs/; แปลว่า "กิ้งก่าปลอม") เป็นสกุลของไดโนเสาร์ซอโรพอดกินพืชที่อาศัยอยู่ในช่วงยุค อธิบายและตั้งชื่อสปีชีส์แรกว่า A. ajax ใน ค.ศ. 1877 และ A. louisae สปีชีส์ที่สองถูกค้นพบและตั้งชื่อโดยวิลเลียม เฮช. ฮอลแลนด์ ใน ค.ศ. 1916. อะแพโทซอรัสมีชีวิตประมาณ 152 ถึง 151 ล้านปีก่อน ในช่วงยุคตอนปลายถึงยุคตอนต้น
อะแพโทซอรัส ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: ( ถึง ), 152–151Ma | |
---|---|
โครงกระดูก A. louisae (ตัวอย่างชนิด CM 3018), | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
โดเมน: | ยูแคริโอต |
อาณาจักร: | สัตว์ |
ไฟลัม: | สัตว์มีแกนสันหลัง |
เคลด: | ไดโนเสาร์ |
เคลด: | ซอริสเกีย |
เคลด: | † |
เคลด: | †ซอโรพอด |
วงศ์ใหญ่: | † |
วงศ์: | † |
วงศ์ย่อย: | † |
สกุล: | †อะแพโทซอรัส , 1877 |
ชนิดต้นแบบ | |
†Apatosaurus ajax Marsh, 1877 | |
ชนิดอื่น ๆ | |
| |
ชื่อพ้อง | |
|
อะแพโทซอรัส อยู่ในสกุลของวงศ์ Diplodocidae ในขณะที่วงศ์ย่อย ถูกตั้งชื่อใน ค.ศ. 1929 กลุ่มของมันไม่ได้มีจนถึง ค.ศ. 2015 โดยมีแค่ บรอนโตซอรัส ที่อยู่ในวงศ์ย่อย ในขณะที่จำพวกอื่นถือเป็นชื่อพ้องหรือเปลี่ยนเป็น บรอนโตซอรัส เคยเป็นชื่อพ้องย่อยของ อะแพโทซอรัส มาเป็นเวลานาน; ประเภทสปีชีส์ถูกเปลี่ยนเป็น A. excelsus ใน ค.ศ. 1903. การศึกษาใน ค.ศ. 2015 สรุปว่า บรอนโตซอรัส เป็นสกุลของซอโรพอดห่าง ๆ จาก อะแพโทซอรัส แต่ใช่ว่านักบรรพชีวินวิทยายอมรับ ในตอนที่ไดโนเสาร์พันธุ์นี้มีชีวิตในอเมริกาเหนือช่วงยุคจูแรสสิกตอนปลาย อะแพโทซอรัส อาจมีชีวิตร่มกับ อัลโลซอรัส, คามาราซอรัส, ดิพโลดูคัส และ สเตโกซอรัส
รายละเอียด
อะแพโทซอรัสเป็นไดโนเสาร์ที่ตัวใหญ่มาก เมื่อโตเต็มที่จะยาวถึง 75 ฟุต สูงกว่า 15 ฟุต (แต่ขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยพบคือ 85 ฟุต) หางยาวอะแพโทซอรัสมีน้ำหนัก 24-35 ตัน ถูกค้นพบในยุคแรก ๆ ของสงครามล่ากระดูกไดโนเสาร์ในอเมริกา ปลายคริสศตวรรษที่ 19 (สูสีกับดิพโพลโดคัสมากนะครับ)
ลักษณะตามแบบตระกูลซอโรพอด คือ คอยาว หางยาวมาก ๆ ประมาณ 23-26 เมตร หัวเล็ก ดูเผิน ๆ เหมือนกับนกไม่มีหัว ขา 4 ข้างใหญ่เหมือนเสา สามารถรับน้ำหนักตัวมันได้ แม้จะอยู่บนบก หรือ ยืน 2 ขาขึ้นเพื่อหาใบไม้อ่อนยอดสูงกิน ที่เท้าหน้าของอะแพโทซอรัสมีเล็บแหลมตรงนิ้วโป้ง ซึ่งปัจจุบันนักโบราณชีววิทยาสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นอาวุธใช้ป้องกันตัวต่อสู้กับพวกอัลโลซอรัส ด้วยการยืน 2 ขา แล้วใช้เล็บแหลมนี้ทิ่มจิกนักล่า
ลักษณะที่สำคัญไดโนเสาร์ชนิดนี้มีความประหลาดมาก คือมีหัวใจ 7-8 ดวงเรียงจากอกถึงลำคอเพื่อช่วยในการสูบฉีดเลือดเพราะมีลำตัวยาวมาก นอกจากนี้ พวกนี้มีฟันรูปร่างคล้ายแท่งดินสอที่ไม่แข็งแรงเคี้ยวอะไรไม่ได้ นอกจากพืชน้ำที่นิ่มที่สุดเท่านั้น (บางข้อมูลก็เชื่อว่า มันใช้ฟันแท่งดินสอเหล่านี้รูดใบไม้อ่อนตามยอดต้นไม้กิน)
หัวของมันก็เล็กจิ๋ว เมื่อเทียบกับความใหญ่โตของลำตัว สมองของอะแพโทซอรัสจึงจิ๋วตามหัวไปด้วย แต่รูจมูกของมันจะอยู่กลางกระหม่อม สันนิษฐานว่าเพื่อประโยชน์ในการใช้ชีวิตในแหล่งน้ำ ทำให้อะแพโทซอรัสสามารถดำน้ำได้นาน เพราะขณะดำน้ำ มันจะชูคอโผล่แต่กระหม่อมขึ้นมาเหนือน้ำ ส่วนตัวก็อยู่ใต้น้ำ ที่มันต้องดำน้ำก็เพราะที่อยู่ของเจ้าอะแพโทซอรัสเป็นถิ่นที่อยู่ของไดโนเสาร์กินเนื้อพันธุ์ดุร้ายมากมายนั่นเอง และใต้น้ำก็มีต้นไม้อ่อน ๆ นิ่ม ๆ ไม่เหมือนต้นไม้บนบกที่มีใบแข็ง มันจึงต้องดำน้ำหรืออยู่ใกล้แหล่งน้ำเสมอ อย่างไรก็ดี ทฤษฎีการดำน้ำของอะแพโทซอรัสหรือซอโรพอดอื่น ๆ เริ่มเป็นที่ถกประเด็นในยุคหลังว่าเป็นได้จริงแค่ไหน โดยนักชีววิทยามีความเห็นว่า หากซอโรพอดต้องหลบศัตรูโดยดำน้ำลงไปลึกเกือบ 10 เมตรจริง ลำคอและปอดของมันจะทนทานแรงกดดันของน้ำลึกได้ขนาดนั้นหรือไม่
ภาพพจน์ในอดีตของอะแพโทซอรัสถูกมองว่าเป็นยักษ์ไร้พิษสง มักจะพบภาพของมันถูกวาดให้โดนไดโนเสาร์นักล่าตะครุบขย้ำเป็นอาหาร (ในจำนวนนี้ มีมากที่เป็นภาพไทรันโนซอรัสกำลังล่าอะแพโทซอรัส ผิดจากความเป็นจริงที่ว่า เหยื่อกับนักล่าทั้ง 2 ตัวนี้มีชีวิตอยู่คนละยุคห่างกันหลายสิบล้านปี ไม่สามารถมาเผชิญหน้ากัน) เนื่องจากลักษณะของมันไม่มีอาวุธป้องกันตัวที่เด่น เช่น เขาขนาดใหญ่แบบไทรเซอราทอปส์ หรือหนาม-ตุ้มที่หางแบบไดโนเสาร์หุ้มเกราะ แต่การค้นคว้าสมัยหลัง ๆ เชื่อว่า มันไม่ใช่เหยื่อตัวยักษ์ที่หวานหมูนักล่าขนาดนั้น ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่กว่านักล่าหลายเท่านั้นก็เป็นอุปสรรคแก่นักล่าระดับหนึ่งแล้ว เช่นเดียวกับช้างในปัจจุบัน
อะแพโทซอรัสมีหางที่ยาวมากเพื่อถ่วงคานน้ำหนักกับส่วนคอที่ยาวของมัน คำนวณกันมาว่า หากไม่มีส่วนหาง อะแพโทซอรัสจะไม่สามารถยกคอมันขึ้นจากพื้นได้ นอกจากนี้ หางใหญ่ของมันยังเป็นอาวุธป้องกันตัวสำคัญใช้ฟาดอย่างแรงเมื่อถูกอัลโลซอรัสหรือนักล่าอื่น ๆโจมตี ส่วนตรงปลายหางที่เรียวเล็กก็ใช้หวดต่างแส้ได้เช่นกัน
อ้างอิง
- Taylor, M.P. (2010). "Sauropod dinosaur research: a historical review." Pp. 361–386 in Moody, R.T.J., Buffetaut, E., Naish, D. and Martill, D.E. (eds.), Dinosaurs and Other Extinct Saurians: A Historical Perspective. London: The Geological Society, Special Publication No. 34.
- Berman, D.S. and McIntosh, J. S. (1978). "Skull and relationships of the Upper Jurassic sauropod Apatosaurus (Reptilia, Saurischia)." Bulletin of the Carnegie Museum, 8: 1–35.
- "Apatosaurus". .
- "Apatosaurus". Unabridged. Random House.
แหล่งข้อมูลอื่น
- Hartman, S. (2013). "Sauropods and kin". Scott Hartman's Skeletal Drawings.
- Batuman, Elif. Brontosaurus Rising (April 2015),
- Krystek, Lee. "Whatever Happened to the Brontosaurus?" UnMuseum (Museum of Unnatural Mystery), 2002.
- Taylor, Mike. "Why is 'Brontosaurus' now called Apatosaurus?" MikeTaylor.org.uk, June 28, 2004.
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
xaaephothsxrs xngkvs Apatosaurus e ˌ p ae t e ˈ s ɔːr e s aeplwa kingkaplxm epnskulkhxngidonesarsxorphxdkinphuchthixasyxyuinchwngyukh xthibayaelatngchuxspichisaerkwa A ajax in kh s 1877 aela A louisae spichisthisxngthukkhnphbaelatngchuxodywileliym ehch hxlaelnd in kh s 1916 xaaephothsxrsmichiwitpraman 152 thung 151 lanpikxn inchwngyukhtxnplaythungyukhtxntnxaaephothsxrs chwngewlathimichiwitxyu thung 152 151Ma PreꞒ Ꞓ O S D C P T J K Pg N okhrngkraduk A louisae twxyangchnid CM 3018 karcaaenkchnthangwithyasastrodemn yuaekhrioxtxanackr stwiflm stwmiaeknsnhlngekhld idonesarekhld sxrisekiyekhld ekhld sxorphxdwngsihy wngs wngsyxy skul xaaephothsxrs 1877chnidtnaebb Apatosaurus ajax Marsh 1877chnidxun A louisae Holland 1916chuxphxng Marsh 1877 xaaephothsxrs xyuinskulkhxngwngs Diplodocidae inkhnathiwngsyxy thuktngchuxin kh s 1929 klumkhxngmnimidmicnthung kh s 2015 odymiaekh brxnotsxrs thixyuinwngsyxy inkhnathicaphwkxunthuxepnchuxphxnghruxepliynepn brxnotsxrs ekhyepnchuxphxngyxykhxng xaaephothsxrs maepnewlanan praephthspichisthukepliynepn A excelsus in kh s 1903 karsuksain kh s 2015 srupwa brxnotsxrs epnskulkhxngsxorphxdhang cak xaaephothsxrs aetichwankbrrphchiwinwithyayxmrb intxnthiidonesarphnthunimichiwitinxemrikaehnuxchwngyukhcuaerssiktxnplay xaaephothsxrs xacmichiwitrmkb xlolsxrs khamarasxrs dipholdukhs aela setoksxrsraylaexiydxaaephothsxrsepnidonesarthitwihymak emuxotetmthicayawthung 75 fut sungkwa 15 fut aetkhnadihythisudthiekhyphbkhux 85 fut hangyawxaaephothsxrsminahnk 24 35 tn thukkhnphbinyukhaerk khxngsngkhramlakradukidonesarinxemrika playkhrisstwrrsthi 19 susikbdiphophlodkhsmaknakhrb lksnatamaebbtrakulsxorphxd khux khxyaw hangyawmak praman 23 26 emtr hwelk duephin ehmuxnkbnkimmihw kha 4 khangihyehmuxnesa samarthrbnahnktwmnid aemcaxyubnbk hrux yun 2 khakhunephuxhaibimxxnyxdsungkin thiethahnakhxngxaaephothsxrsmielbaehlmtrngniwopng sungpccubnnkobranchiwwithyasnnisthanwa nacaepnxawuthichpxngkntwtxsukbphwkxlolsxrs dwykaryun 2 kha aelwichelbaehlmnithimciknkla lksnathisakhyidonesarchnidnimikhwamprahladmak khuxmihwic 7 8 dwngeriyngcakxkthunglakhxephuxchwyinkarsubchideluxdephraamilatwyawmak nxkcakni phwknimifnruprangkhlayaethngdinsxthiimaekhngaerngekhiywxairimid nxkcakphuchnathinimthisudethann bangkhxmulkechuxwa mnichfnaethngdinsxehlanirudibimxxntamyxdtnimkin hwkhxngmnkelkciw emuxethiybkbkhwamihyotkhxnglatw smxngkhxngxaaephothsxrscungciwtamhwipdwy aetrucmukkhxngmncaxyuklangkrahmxm snnisthanwaephuxpraoychninkarichchiwitinaehlngna thaihxaaephothsxrssamarthdanaidnan ephraakhnadana mncachukhxophlaetkrahmxmkhunmaehnuxna swntwkxyuitna thimntxngdanakephraathixyukhxngecaxaaephothsxrsepnthinthixyukhxngidonesarkinenuxphnthuduraymakmaynnexng aelaitnakmitnimxxn nim imehmuxntnimbnbkthimiibaekhng mncungtxngdanahruxxyuiklaehlngnaesmx xyangirkdi thvsdikardanakhxngxaaephothsxrshruxsxorphxdxun erimepnthithkpraedninyukhhlngwaepnidcringaekhihn odynkchiwwithyamikhwamehnwa haksxorphxdtxnghlbstruodydanalngiplukekuxb 10 emtrcring lakhxaelapxdkhxngmncathnthanaerngkddnkhxngnalukidkhnadnnhruxim phaphphcninxditkhxngxaaephothsxrsthukmxngwaepnyksirphissng mkcaphbphaphkhxngmnthukwadihodnidonesarnklatakhrubkhyaepnxahar incanwnni mimakthiepnphaphithrnonsxrskalnglaxaaephothsxrs phidcakkhwamepncringthiwa ehyuxkbnklathng 2 twnimichiwitxyukhnlayukhhangknhlaysiblanpi imsamarthmaephchiyhnakn enuxngcaklksnakhxngmnimmixawuthpxngkntwthiedn echn ekhakhnadihyaebbithresxrathxps hruxhnam tumthihangaebbidonesarhumekraa aetkarkhnkhwasmyhlng echuxwa mnimichehyuxtwyksthihwanhmunklakhnadnn dwykhnadtwthiihykwanklahlayethannkepnxupsrrkhaeknklaradbhnungaelw echnediywkbchanginpccubn xaaephothsxrsmihangthiyawmakephuxthwngkhannahnkkbswnkhxthiyawkhxngmn khanwnknmawa hakimmiswnhang xaaephothsxrscaimsamarthykkhxmnkhuncakphunid nxkcakni hangihykhxngmnyngepnxawuthpxngkntwsakhyichfadxyangaerngemuxthukxlolsxrshruxnklaxun ocmti swntrngplayhangthieriywelkkichhwdtangaesidechnknxangxingTaylor M P 2010 Sauropod dinosaur research a historical review Pp 361 386 in Moody R T J Buffetaut E Naish D and Martill D E eds Dinosaurs and Other Extinct Saurians A Historical Perspective London The Geological Society Special Publication No 34 Berman D S and McIntosh J S 1978 Skull and relationships of the Upper Jurassic sauropod Apatosaurus Reptilia Saurischia Bulletin of the Carnegie Museum 8 1 35 Apatosaurus Apatosaurus Unabridged Random House aehlngkhxmulxunwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb xaaephothsxrs Hartman S 2013 Sauropods and kin Scott Hartman s Skeletal Drawings Batuman Elif Brontosaurus Rising April 2015 Krystek Lee Whatever Happened to the Brontosaurus UnMuseum Museum of Unnatural Mystery 2002 Taylor Mike Why is Brontosaurus now called Apatosaurus MikeTaylor org uk June 28 2004 bthkhwambrrphchiwinwithyaniyngepnokhrng khunsamarthchwywikiphiediyidodykarephimetimkhxmuldk