บทความนี้ได้รับแจ้งให้ปรับปรุงหลายข้อ กรุณาช่วยปรับปรุงบทความ หรืออภิปรายปัญหาที่
|
พิษวิทยา (อังกฤษ: Toxicology มาจากคำว่า toxicos และ logos ในภาษากรีก) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับผลของสารพิษที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและชีววิทยาของสิ่งมีชีวิต อาการพิษ กลไกการเกิดพิษ วิธีการรักษา และการตรวจสอบของสาร
ประวัติความเป็นมาของพิษวิทยา
ประวัติความเป็นมาของวิชาพิษวิทยาโดยคร่าว ๆ อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์เริ่มรู้จักเรื่องสารพิษมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล มนุษย์ในสมัยก่อนรู้จักสังเกตสิ่งมีชีวิตรอบตัว เช่น พืชมีพิษหรือสัตว์มีพิษ และมีการนำพิษจากสิ่งเหล่านี้มาใช้ในการฆาตกรรม ฆ่าตัวตาย หรือตัดสินโทษประหารในสมัยก่อน เช่น
- การฆ่าตัวตายของพระนางคลีโอพัตรา (Cleopatra) โดยใช้งูพิษ
- การตัดสินโทษประหารโสเครติส (Socrates) ด้วยการให้ดื่มยาพิษจากต้นเฮมล็อก
ในคัมภีร์สมัยอียิปต์โบราณมีการกล่าวถึงเรื่องพิษชนิดต่าง ๆ ซึ่งนับว่าว่าเป็นหลักฐานที่เป็นเอกสารทางด้านพิษวิทยาที่เก่าแก่ที่สุด
พิษวิทยาได้เริ่มต้นขึ้นอย่างจิงจังในยุคของพาราเซลซัส (Paracelcus ชื่อเต็ม Philippus Aureolus Theophrastus Bombastus von Hoehenheim; ค.ศ. 1493 – 1541) เป็นแพทย์และนักแคมีชาวสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งวิชาพิษวิทยา และเป็นผู้เสนอแนวคิดที่ว่าถึง การทดลองและย้ำให้เห็นความสำคัญของการทดลอง แนวคิดที่สอง คือให้ความสำคัญกับขนาดเพราะถ้าเราได้รับขนาดของพิษในระดับที่ต่างกันพิษทีเกิดขึ้นก็จะส่งผลที่แตกต่างกัน โดยพาราเซลซัสได้กล่าวประโยคสำคัญหนึ่งไว้ ความว่า “All substances are poisons; there is none which is not a poison. The right dose differentiates poison from a remedy” แปลเป็นไทยคือ “สารเคมีทุกชนิดล้วนเป็นพิษ ไม่มีสารเคมีชนิดใดที่ไม่มีพิษ ขนาดเท่านั้นที่จะเป็นตัวแยกระหว่างความเป็นพิษกับความเป็นยา” แนวคิดหลักของพาราเซลซัสยังคงได้รับความเชื่อถือเป็นหลักการที่สำคัญของพิษวิทยามาจนถึงทุกวันนี้
ต่อมาได้มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพิษวิทยาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้แก่ รามาซซินี (Bernardino Ramazzini; ค.ศ. 1633 – 1714) นายแพทย์ชาวอิตาลี ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งอาชีวเวชศาสตร์ ในเรื่องสารพิษหลายชนิดที่พบได้จากการทำงานของคนทำงาน ในยุคปัจจุบัน นายแพทย์เพอร์ซิวาล พอตต์ (Percival Pott; ค.ศ. 1714 – 1788) ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างการสัมผัสเขม่าปล่องไฟกับการเกิดโรคมะเร็งถุงอัณฑะ ซึ่งทำให้ได้ทราบว่าพิษจากสารเคมีบางอย่างก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ ออร์ฟิลา (Orfila ชื่อเต็ม Mathieu Joseph Bonaventure Orfila; ค.ศ. 1787 – 1853) แพทย์และนักพิษวิทยาชาวสเปน ปัจจุบัน ออร์ฟิลา ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิชาพิษวิทยาสมัยใหม่ (Modern toxicology) ใช้การวิเคราะห์ทางเคมีเพื่อหาสารพิษจากศพ นำผลพิสูจน์นั้นมาช่วยในกระบวนการยุติธรรม วางรากฐานนิติพิษวิทยา
เมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมอุตสาหกรรม (Industrial revolution; ราว ค.ศ. 1760 – 1840) สารเคมีหลายชนิดถูกพัฒนาสังเคราะห์ขึ้นได้ในปริมาณมาก เช่น กรดซัลฟูริก (Sulfuric acid) กรดเกลือ (Hydrochloric acid) โซดาแอช (Sodium carbonate) และถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรม สารเคมีอินทรีย์ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงต่อมา และในสงครามโลกครั้งที่ 1 (World war I; ค.ศ. 1914 – 1918) ก็ได้มีการนำสารเคมีอินทรีย์เหล่านี้มาใช้เป็นอาวุธเคมี ได้แก่ แก๊สฟอสจีน (Phosgene) และแก๊สมัสตาร์ด (Mustard) สารเคมีอินทรีย์อื่น ๆ เช่น คลอโรฟอร์ม (Chloroform) คาร์บอนเตตราคลอไรด์ (Carbon tetrachloride) ถูกค้นพบและนำมาใช้ ในอุตสาหกรรมมากขึ้น เหตุการณ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (World war II; ค.ศ. 1939 – 1945) เป็นปัจจัยกระตุ้นให้มีการพัฒนาทางเทคโนโลยี และการสังเคราะห์สารเคมีชนิดใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย ทั้งเพื่อใช้เป็นอาวุธสงคราม เช่น กลุ่มแก๊สพิษต่อระบบประสาท (Nerve gas) และเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมต่างๆ การสังเคราะห์สารเคมีใหม่ ๆ ยังคงพัฒนาต่อไปแม้สิ้นสุดสงครามแล้ว และถูกพัฒนาจนมีจำนวนมากมายตามการพัฒนาของอุตสาหกรรม จนมาถึงปัจจุบันนี้ พิษของสารเคมีต่าง ๆ ต่อคน สัตว์ พืช รวมถึงการปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อมก็ถูกค้นพบมากขึ้น
ออสวาลด์ ชไมเดอเบิร์ก (Oswald Schmiedeberg; ค.ศ. 1838 – 1921) เภสัชกรชาวเยอรมัน ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของวิชาเภสัชศาสตร์สมัยใหม่ ศึกษาเรื่องพิษจลนศาสตร์ และยังเป็นอาจารย์สอนเภสัชกรและนักพิษวิทยาอีกด้วย
แบรดฟอร์ด ฮิลล์ (Austin Bradford Hill; ค.ศ. 1897 – 1991) นักระบาดวิทยาและสถิติชาวอังกฤษ เป็นอีกท่านหนึ่งที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาความรู้ทางด้านพิษวิทยา คือการเสนอแนวคิดเรื่องหลักการหาความเป็นสาเหตุ (Causal relationship) ทางระบาดวิทยา และใช้หลักการนี้พิสูจน์ความสัมพันธ์ของมะเร็งปอดกับการสูบบุหรี่ได้ หลักการนี้ช่วยให้นักพิษวิทยาสมัยใหม่นำมาใช้ในการประเมินความเสี่ยงของสารเคมีชนิดต่าง ๆ
ในปี ค.ศ. 1962 ราเชล คาร์สัน (Rachel Carson; ค.ศ. 1 907 – 1 964) นักชีววิทยาชาวสหรัฐอเมริกา ได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง Silent spring ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้สารปราบศัตรูพืช เช่น ดีดีที (DDT) ต่อนกและสัตว์ชนิดต่าง ๆ หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และทำให้เกิดความตื่นตัวในการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมในสังคมตามมา เกิดการจัดตั้ง หน่วยงาน Environmental Protection Agency (EPA) ขึ้นในปี ค.ศ. 1970 และมีการยกเลิกการใช้สารดีดีทีในประเทศ สหรัฐอเมริกา จนเธอถูกยกย่องให้เป็นผู้ริเริ่มด้านการเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม (Environmental movement)
กลไกการเกิดพิษ
สิ่งที่ทำให้เกิดพิษหรือสารพิษ ซึ่งอาจจะเป็นสารเคมี ยา สารพิษและยังครอบคลุมไปถึงปัจจัยทางด้านกายภาพ เช่น เสียง แสง ความร้อน เป็นต้น และยังครอบคลุมถึงปัจจัยทางด้านชีวภาพอีกด้วย สื่งที่กล่าวมานี้จะสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตได้ และในกลไกการเกิดพิษจะทำให้เราทราบเกี่ยวกับการเกาะจับของสื่งที่จะทำให้เกิดสารพิษที่ส่งผลโดยตรงกับร่างกาย หรืออวัยวะ และส่วนต่างๆของเซลล์ภายในร่างกาย ส่วนสิ่งที่ทำให้เกิดพิษอาจจะเกิดขึ้นได้ในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เช่น เกิดความเป็นพิษเฉียบพลัน ความเป็นพิษเรื้อรัง หรืออาจจะเกิดความเป็นพิษในลักษณะเฉพาะ เช่น การกลายพันธุ์ การเกิดมะเร็ง เป็นต้น
ประเภทของสารพิษ
ประเภทของสารพิษ สารพิษสามารถแบ่งได้เป็น 9 ชนิด
1.) สารพิษป้องกันกำจัดศัตรูพืช (Pesticides) หมายถึงสารพิษที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ออกฤทธิ์ทำลายหรือขับไล่ศัตรูพืชสัตว์ ส่วนมนุษย์เป็นตัวสร้างสารพิษที่สำคัญนั่นเอง สารพิษป้องกันและกำจัดแมลง (Insecticides) เป็นสารพิษที่ใช้ป้องกันและกำจัดแมลง หนอนของพืช สัตว์ และมนุษย์ อาจเป็นสารพิษที่อยู่ในธรรมชาติหรือเป็นสารพิษที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น
สารพิษที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นมี 4 กลุ่ม ได้แก่
1.1กลุ่มออร์แกนโนคลอรีน (Organocholrine) สารพิษกลุ่มนี้มีความคงตัวสลายตัวได้ยาก บางชนิดมีพิษตกค้างเป็นสิบ ๆ ปี มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลง มีฤทธิ์กกประสาททำให้หน้ามืดวิงเวียนศีระษะและอาจทำให้หัวใจวายและตายได้ สารพิษจำพวกนี้ ได้แก่ ดีดีที ออลดริน ดิลดริน เอนดริน เฮปคาคลอร์ ลินแดน และอื่น ๆ
1.2กลุ่มออร์แกนโนฟอสเฟต(Organophosphate) เป็นสารที่มีฟอสฟอรัส(P) เป็นองค์ประกอบสำคัญ สารพิษกลุ่มนี้สลายตัวได้ง่ายและมีพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมไม่นานนัก เฉลี่ยประมาณ 3-15 วัน จะมีพิษรุนแรง มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงได้ดี สารพิษพวกนี้จะมีผลต่อระดับความดันโลหิตและระดับเอนไซม์โคลีนเอสสเตอเรส (Cholinesterase) ในเลือด หากได้รับสารเข้าไปจะวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ เป็นตะคริว สารพิษจำพวกนี้ ได้แก่ คาร์บาริล, คาร์โบฟูเรน, ไบกอน และอื่น ๆ
1.3กลุ่มไบรีรอย (Pyrethroids) เป็นสารพิษที่มีในธรรมชาติและจากการสังเคราะห์ขึ้นของมนุษย์ สารพิษกลุ่มนี้ใช้ฆ่าแมลงได้ดี แต่มีทุนสูงเพราะทุนในการสังเคราะห์จะสูงกว่าการสกัดในธรรมชาติ สารพิษกลุ่มนี้มีการสลายตัวง่าย มีพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่นน้อย
2.)โลหะหนัก เป็นสารพิษที่พบในธรรมชาติและที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น โลหะหนักที่สำคัญ ได้แก่ ตะกั่ว เป็นโลหะที่มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์ต่าง ๆ มากมาย เช่น ใช้เป็นสารผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง ทำโลหะเจือ สีทาเหล็ก กระสุนปืน ใช้ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ อุตสาหกรรมกรดซัลฟูริค เป็นต้น ตะกั่วสามารถปะปนอยู่ในอาหาร ในบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ได้ ตะกั่วมีพิษทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเม็ดเลือดที่มีผลกระทบต่อประสาทและทำให้เกิดอันตรายต่อไต
3.)สารระคายผิว เป็นสารที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบได้ ได้แก่
- พวกที่ดึงน้ำออก เมื่อถูกผิวหนังจะดึงจ้ำออกผิว เกิดความร้อนให้กรดที่กัดผิวหนัง เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์, ซัลเฟอร์ไทรออกไซด์, ฟอสฟอรัสเพนทอกไซด์, แคลเซียมออกไซด์, แคลเซียมคลอไรด์
- พวกที่ละลายไขมัน ได้แก่ ตัวทำละลายที่ใช้กันทั่ว ๆ ไป เช่น อะซีโตน , อีเทอร์, เอสเตอ, สารละลายด่าง ตัวทำละลายนี้จะละลายไขมันตามธรรมชาติและอาจละลายผิวชั้นนอกได้ด้วย
- พวกที่ทำปฏิกิริยากับน้ำ น้ำจะทำให้สารหลายชนิดแตกตัวให้อิออน เช่น น้ำกับฟอสฟอรัสเพนตะคลอไรด์ ให้คลอได์อิออนและกรดไฮไฮโปโครัส เป็นต้น
- พวกที่ตกตะกอนโปรตีน เช่น เกลือของโลหะต่าง ๆ, กรดแทนนิล, ฟอมาดีไฮด์, แอลกอฮอล์ และอื่น ๆ
- พวกรีดิวเซอร์ จะไปดึงออกซิเจนออกมาและส่งผลให้ผิวลอกหรือผิวชั้นนอกหนาขึ้น เช่น ไฮโดควินโนน, ซัลไฟท์ เป็นต้น
- พวกออกซิไดเซอร์ ซึ่งจะรวมกับไฮโดรเจน ปล่อยออกซิเจนออกมา เช่น คลอรีน, เฟอร์รัคคลอไรด์, กรดโครมิล, สารเปอแมงกา-เนท เป็นต้น
- พวกทำให้เป็นมะเร็ง โดยไปกระตุ้นการเติบโตของชั้นผิวนอกและกลายเป็นเซลล์มะเร็ง
4.)สารที่เป็นผงหรือฝุ่นซึ่งมีอนุภาคเล็ก ๆ เข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจ ตัวอย่างเช่น ผงฝุ่นของแอสเบสเตอสทำให้เกิดโรคปอดแข็ง (Asbestosis) ผงฝุ่นของซิลิเกทเป็นอันตรายต่อปอด ผงฝุ่นของโลหะต่าง ๆ เช่น ตะกั่ว, ปรอท, แคดเมี่ยม และอื่น ๆ
5.)สารที่ไอเป็นพิษ เป็นสารเคมีที่ให้ไอพิษ หากสูดดมเข้าไปทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ได้แก่ ตัวทำละลายชนิดต่าง ๆ เช่น เบนซิน, คาร์บอนไดซัลไฟต์, คาร์บอนเคดตะคลอไรด์, เมทธิบแอลกอฮอล์
6.)ก๊าซพิษ มีหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรมทจัมีก๊าซพิษบางชนิดที่อันตรายมาก โดยส่งผลให้ร่างกายขาดออกซิเจน ทำให้ร่างกายระคายเคือง เช่น พอสจีน, ไนโตรเจนออกไซด์, คาร์บอนมอนอกไซด์
7.)สารเคมีผสมในอาหาร เป็นสารเคมีที่นำมาใส่เข้าไปในอาหารโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันมิให้อาหารเสีย และเพื่อคงหรือเพิ่มคุณสมบัติทางฟิสิกส์ของอาหาร ตลอดจนเพื่อให้อาหารนั้นมีกลิ่น รส สี ที่น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น สารเคมีเหล่านี้ บางชนิดถ้าใส่ในปริมาณมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดเป็นพิษเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้ ตัวอย่าง เช่น สารไนเตรทไนไตรท์ ผงชูรส โซเดียม เบนโซเอท เป็นต้น นอกจากนี้สารเคมีบางชนิดก็เป็นสารที่เป็นพิษมีอันตรายต่อผู้บริโภคได้ ตัวอย่างเช่น สีย้อมผ้า กรดกำมะถัน บอแรกซ์ กรดซาลิโซลิก เป็นต้น
8.)สารที่สังเคราะห์โดยสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้แก่ สารที่สังเคราะห์จากเชื้อรา แบคทีเรีย พืช และสัตว์บางชนิด ตัวอย่างของสารพิษที่เกิดจากเชื้อรา เช่น สารพิษ Aflatoxin เกิดจากเชื้อราพวก Aspergillus flavus ที่ขึ้นอยู่ในถั่วลิสง ข้าวโพดหรืออาหารแห้งอื่น ๆ หรือสารพิษ Botulinum toxin เกิดจากเชื้อแบททีเรีย Clostridium botulinum ที่ขึ้นในอาหารกระป๋องที่ผลิตไม่ได้มาตราฐานสารพิษ Trichothecene หรือ T-2 toxin เกิดจากเชื้อรา Fusarium tricinetum ที่ขึ้นในข้าวโพด เป็นต้น สำหรับพืชและสัตว์ที่สามารถสร้างสารพิษได้ เช่น เห็ดพิษ กลอย มันสำปะหลัง คางคก เหรา (สัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง) ปลาปักเป้า เป็นต้น
9.) สารกัมมันตภาพรังสี เป็นสารที่สามารถแผ่รังสีมาจากตัวเองได้ มนุษย์ได้มำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญคือในด้านการแพทย์ และการผลิตไฟฟ้า สารกัมมันตภาพรังสีนับเป็นสารที่มีพิษต่อสิ่งมีชีวิตมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับสารพิษชนิดอื่น ๆ โดยจะทำอันตรายโดยตรง และถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้อีกด้วย กัมมันตภาพรังสีที่แผ่ออกมามี 3 ชนิด คือ รังสีอัลฟา รังสีเบต้า และรังสีแกมมา สารกัมมันตภาพรังสีในธรรมชาติมีหลายตระกูล แต่ที่สำคัญที่สุด คือ ตระกูลยูเรเนียม และตระกูลทอเรียม ที่สำคัญรองลงมาคือ โปแตสเซียม -40 ยูบีเดียม – 87 สมาเรียม – 147 ลูซีเตียม – 176 และเรเดียม – 220 เป็นต้น
การเข้าสู่ร่างกายของสารพิษ
สารพิษเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง คือ
- ทางจมูก เป็นการเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีการสูดดม ละอองของสารพิษจะเข้าไปปะปนกับลมหายใจซึ่งสารพิษบางชนิดจะมีฤทธิ์กัดกร่อน ส่งผลให้เยื่อจมูกและหลอดลมอักเสบหรือสารพิษซึมผ่านเนื้อเยื่อเข้าสู่กระแสโลหิตส่งผลให้โลหิตเป็นพิษ
- ทางปาก อาจเป็นการเข้าปากโดยบางครั้งเราไม่รู้ตัว เช่น หยิบอาหารรับประทานโดยที่ไม่ล้างมือ หรือกินผักผลไม้ที่มีสารเคมีตกค้างอยู่ หรือในบางกรณีที่ตั้งใจกินสารพิษเพื่อฆ่าตัวตาย
- ทางผิวหนัง เป็นการสัมผัสหรือจับต้องสารพิษ ซึ่งสารพิษสามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ เมื่อเข้าไปทำปฏิกิริยากับร่างกายทำให้เกิดพิษต่อร่างกาย
สารพิษเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางใดก็ตาม หากมีความเข้มข้นจะทำปฏิกิริยา ณ จุดสัมผัสและซึมเข้าสู่ร่างกายหรือกระแสโลหิต กระแสโลหิตจะพาสารพิษไปทั่วร่างกาย ความสามารถในการแพร่เข้าสู่โลหิตจะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติการละลายน้ำของสารพิษนั้นและสารพิษบางชนิดร่างกายสามารถขับออกทางไตได้ แต่จะส่งผลต่อทางเดินปัสสวะและกระเพาะปัสสวะ อีกทั้งยังมีสารพิษบางชนิดที่ถูกสะสมไว้ที่ตับและไขมัน
อันตรายจากสารพิษ และวิธีการป้องกัน
สารพิษ สารเคมี หรือวัตถุที่เข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่ทำปฏิกิริยาต่อโครงสร้างและหน้าที่ของร่างกาย จนทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต อันตรายที่เกิดขึ้นอาจจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณสารพิษที่ได้รับ
สารพิษเข้าสู่ร่างกายได้ 4 วิธี คือ
1. ทางปาก
2.ทางระบบทางเดินหายใจ
3.ทางผิวหนัง
3.การดมกลิ่น
การได้รับสารพิษแบบเฉียบพลัน (Acute exposure) หมายถึง การได้รับสารพิษในปริมาณมากในระยะเวลาน้อยกว่า 24 ชั่วโมง ส่วนใหญ่จะเป็นการฉีดเข้าช่องท้อง ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง การกิน หรือการทาที่ผิวหนังโดยตรง เป็นต้น
การได้รับสารพิษแบบกึ่งเฉียบพลัน (Subacute exposure) หมายถึง การได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายในปริมาณน้อยติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน หรือน้อยกว่า
การได้รับสารพิษแบบกึ่งเรื้อรัง (Subchonic exposure) หมายถึง การได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายในปริมาณน้อยติดต่อกันเป็นเวลา 1-3 เดือน
การได้รับสารพิษแบบเรื้อรัง (Chonic exposure) หมายถึง การได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายภายในปริมาณน้อยเป็นเวลานานเกิน 3 เดือนขึ้นไป
วิธีการป้องกันอันตรายจากสารพิษ
1.พยายามหลีกเลี่ยงจากการใช้สารเคมีและสารพิษในการทำกิจกรรม
2.ควรศึกษาและทำความเข้าใจวิธีการใช้สารเคมี และอันตรายที่เกิดขึ้นแต่ละชนิด
3.ควรใช้อุปกรณื เครื่องมือในการป้องกันอันตรายขณะที่ทำงานเกี่ยวกับสารเคมี
4.ควรมีการตรวจสุขภาพสำหรับผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสารพิษและสารเคมี อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
5.พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีสารเคมี เพื่อป้องกันสารพิษเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง ทางปากและทางจมูก
6.เมื่อต้องใช้สารเคมี ควรอ่านฉลากกำกับให้เข้าใจก่อนใช้ และควรปฏิบัติตามคำเตือนอย่างเคร่งครัด
7.อย่าทิ้งภาชนะที่บรรจุสารเคมี หรือสารพิษลงไปในแม่น้ำ ลำธาร
8.ภาชนะที่บรรจุสารเคมีหรือสารพิษ เมื่อใช้หมดแล้วให้ฝังดินหรือทำลายโดยทันที
วิธีการปฏิบัติเมื่อถูกสารพิษ
1.เมื่อสารพิษเข้าทางผิวหนัง
1.1.ต้องรีบล้างด้วยน้ำสะอาดมาก ๆ
1.2.หากถูกสารเคมีที่เป็นกรดต้องล้างด้วยน้ำสะอาดและล้างด้วยสารละลายอิ่มตัวของโซเดียมไบคาร์บอเนต
1.3.หากถูกสารเคมีที่เป็นด่างต้องล้างด้วยน้ำสะอาดและล้างด้วยสารละลายของกรดน้ำส้ม
1.4.หากสารเคมีมีกรดหรือด่างเข้าตาต้องรีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดและลืมตาในน้ำสะอาดแล้วรีบนำส่งแพทย์ทันที
2.เมื่อสารพิษเข้าทางปาก
2.1.พยายามทำให้อาเจียรออกมาโดยใช้น้ำอุ่นมากๆกลั้วคอ แต่ถ้ากินกรดหรือด่างเข้าไปห้ามทำให้อาเจียร แต่ถ้าทราบว่ากินกรดเข้าไปให้กินน้ำสบู่อ่อนๆ แต่ถ้ากินด่างเข้าไปให้กินน้ำส้มสายชูอ่อน ๆ หรือน้ำส้มคั้น แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล
2.2.รีบให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
2.3.ถ้าผู้ป่วยหมดสติ ใช้เป่าลมเข้าทางปาก ทางจมูก แล้วนำส่งโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยรู้สึกตัวแล้ว ให้ทำให้ผู้ป่วยอาเจียรทันที
3.เมื่อสารพิษเข้าทางจมูก
3.1.ควรนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่มีสารพิษและสารเคมี
3.2.ช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวก ให้เป่าลมเข้าทางจมูกหรือทางปาก
3.3.ใช้ยาดมฉุน ๆ เพื่อช่วยในการกระตุ้นการหายใจได้สะดวกขึ้น
อ้างอิง
- http://www.summacheeva.org/index_thaitox_basic.htm 2017-03-21 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- https://wedbre.wordpress.com/2015/02/26/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99-9-%E0%B8%8A/
- http://riskcomthai.org/
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
- A Small Dose of Toxicology 2012-01-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Agency for Toxic Substances and Disease Registry (ATSDR)
- Case Studies in Environmental Medicine
- ToxFAQs?
- Public Health Statements (PHSs)
- Toxicological Profiles
- Minimal Risk Levels (MRLs) for Hazardous Substances
- Medical Management Guidelines (MMGs) for Acute Chemical Exposures
- Managing Hazardous Material Incidents
- Interaction Profiles for Toxic Substances
- CERCLA Priority List of Hazardous Substances
- A Toxicology Curriculum for Communities
- Society of Toxicology
- American College of Toxicology
- hazard.com Toxicity and hazard data on industrial chemicals
- International Conference on Harmonisation
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
bthkhwamniidrbaecngihprbprunghlaykhx krunachwyprbprungbthkhwam hruxxphipraypyhathihnaxphipray bthkhwamnimienuxhahruxrupaebbkhlaytara nganwicy khxesnxokhrngkar hruxlksnaxunthiimepnsaranukrm bthkhwamnixactxngekhiynihmthnghmdephuxihepniptammatrthankhunphaphkhxngwikiphiediy bthkhwamnitxngkarcdrupaebbkhxkhwam karcdhna karaebnghwkhx karcdlingkphayin aelaxun phiswithya xngkvs Toxicology macakkhawa toxicos aela logos inphasakrik epnsastrthisuksaekiywkbphlkhxngsarphisthithaihekidkarepliynaeplngthangsrirwithyaaelachiwwithyakhxngsingmichiwit xakarphis klikkarekidphis withikarrksa aelakartrwcsxbkhxngsarkarthdlxngkarwicydanphiswithyathixngkhkarxaharaelayashrthprawtikhwamepnmakhxngphiswithyaprawtikhwamepnmakhxngwichaphiswithyaodykhraw xacklawidwamnusyerimruckeruxngsarphismatngaetsmyobrankal mnusyinsmykxnrucksngektsingmichiwitrxbtw echn phuchmiphishruxstwmiphis aelamikarnaphiscaksingehlanimaichinkarkhatkrrm khatwtay hruxtdsinothspraharinsmykxn echn karkhatwtaykhxngphranangkhlioxphtra Cleopatra odyichnguphis kartdsinothspraharosekhrtis Socrates dwykarihdumyaphiscaktnehmlxk inkhmphirsmyxiyiptobranmikarklawthungeruxngphischnidtang sungnbwawaepnhlkthanthiepnexksarthangdanphiswithyathiekaaekthisud phiswithyaiderimtnkhunxyangcingcnginyukhkhxngpharaeslss Paracelcus chuxetm Philippus Aureolus Theophrastus Bombastus von Hoehenheim kh s 1493 1541 epnaephthyaelankaekhmichawswisesxraelnd sungidrbkarykyxngihepnbidaaehngwichaphiswithya aelaepnphuesnxaenwkhidthiwathung karthdlxngaelayaihehnkhwamsakhykhxngkarthdlxng aenwkhidthisxng khuxihkhwamsakhykbkhnadephraathaeraidrbkhnadkhxngphisinradbthitangknphisthiekidkhunkcasngphlthiaetktangkn odypharaeslssidklawpraoykhsakhyhnungiw khwamwa All substances are poisons there is none which is not a poison The right dose differentiates poison from a remedy aeplepnithykhux sarekhmithukchnidlwnepnphis immisarekhmichnididthiimmiphis khnadethannthicaepntwaeykrahwangkhwamepnphiskbkhwamepnya aenwkhidhlkkhxngpharaeslssyngkhngidrbkhwamechuxthuxepnhlkkarthisakhykhxngphiswithyamacnthungthukwnni txmaidmibukhkhlthiekiywkhxngkbphiswithyaephimmakkhuneruxy idaek ramassini Bernardino Ramazzini kh s 1633 1714 nayaephthychawxitali idrbkarykyxngwaepnbidaaehngxachiwewchsastr ineruxngsarphishlaychnidthiphbidcakkarthangankhxngkhnthangan inyukhpccubn nayaephthyephxrsiwal phxtt Percival Pott kh s 1714 1788 slyaephthychawxngkvs khnphbkhwamsmphnthrahwangkarsmphsekhmaplxngifkbkarekidorkhmaerngthungxntha sungthaihidthrabwaphiscaksarekhmibangxyangkxihekidorkhmaerngid xxrfila Orfila chuxetm Mathieu Joseph Bonaventure Orfila kh s 1787 1853 aephthyaelankphiswithyachawsepn pccubn xxrfila idrbkarykyxngwaepnbidaaehngwichaphiswithyasmyihm Modern toxicology ichkarwiekhraahthangekhmiephuxhasarphiscaksph naphlphisucnnnmachwyinkrabwnkaryutithrrm wangrakthannitiphiswithya emuxekhasuyukhptiwtixutsahkrrmxutsahkrrm Industrial revolution raw kh s 1760 1840 sarekhmihlaychnidthukphthnasngekhraahkhunidinprimanmak echn krdslfurik Sulfuric acid krdeklux Hydrochloric acid osdaaexch Sodium carbonate aelathuknamaichinxutsahkrrm sarekhmixinthriythukphthnakhuninchwngtxma aelainsngkhramolkkhrngthi 1 World war I kh s 1914 1918 kidmikarnasarekhmixinthriyehlanimaichepnxawuthekhmi idaek aeksfxscin Phosgene aelaaeksmstard Mustard sarekhmixinthriyxun echn khlxorfxrm Chloroform kharbxnettrakhlxird Carbon tetrachloride thukkhnphbaelanamaich inxutsahkrrmmakkhun ehtukarninsmysngkhramolkkhrngthi 2 World war II kh s 1939 1945 epnpccykratunihmikarphthnathangethkhonolyi aelakarsngekhraahsarekhmichnidihm khunmamakmay thngephuxichepnxawuthsngkhram echn klumaeksphistxrabbprasath Nerve gas aelaephuxichinkrabwnkarphlitthangxutsahkrrmtang karsngekhraahsarekhmiihm yngkhngphthnatxipaemsinsudsngkhramaelw aelathukphthnacnmicanwnmakmaytamkarphthnakhxngxutsahkrrm cnmathungpccubnni phiskhxngsarekhmitang txkhn stw phuch rwmthungkarpnepuxnsusingaewdlxmkthukkhnphbmakkhun xxswald chimedxebirk Oswald Schmiedeberg kh s 1838 1921 ephschkrchaweyxrmn phuidrbkarykyxngihepnbidakhxngwichaephschsastrsmyihm suksaeruxngphisclnsastr aelayngepnxacarysxnephschkraelankphiswithyaxikdwy aebrdfxrd hill Austin Bradford Hill kh s 1897 1991 nkrabadwithyaaelasthitichawxngkvs epnxikthanhnungthimiswnchwyinkarphthnakhwamruthangdanphiswithya khuxkaresnxaenwkhideruxnghlkkarhakhwamepnsaehtu Causal relationship thangrabadwithya aelaichhlkkarniphisucnkhwamsmphnthkhxngmaerngpxdkbkarsubbuhriid hlkkarnichwyihnkphiswithyasmyihmnamaichinkarpraeminkhwamesiyngkhxngsarekhmichnidtang inpi kh s 1962 raechl kharsn Rachel Carson kh s 1 907 1 964 nkchiwwithyachawshrthxemrika idtiphimphhnngsuxeruxng Silent spring sungmienuxhaekiywkbphlkrathbkhxngkarichsarprabstruphuch echn didithi DDT txnkaelastwchnidtang hnngsuxelmniidrbkhwamniymxyangaephrhlay aelathaihekidkhwamtuntwinkarphithkssingaewdlxminsngkhmtamma ekidkarcdtng hnwyngan Environmental Protection Agency EPA khuninpi kh s 1970 aelamikarykelikkarichsardidithiinpraeths shrthxemrika cnethxthukykyxngihepnphurierimdankarekhluxnihwephuxsingaewdlxm Environmental movement klikkarekidphissingthithaihekidphishruxsarphis sungxaccaepnsarekhmi ya sarphisaelayngkhrxbkhlumipthungpccythangdankayphaph echn esiyng aesng khwamrxn epntn aelayngkhrxbkhlumthungpccythangdanchiwphaphxikdwy sungthiklawmanicasamarththaihekidxntraytxsingmichiwitid aelainklikkarekidphiscathaiherathrabekiywkbkarekaacbkhxngsungthicathaihekidsarphisthisngphlodytrngkbrangkay hruxxwywa aelaswntangkhxngesllphayinrangkay swnsingthithaihekidphisxaccaekidkhunidinlksnathiaetktangknxxkip echn ekidkhwamepnphisechiybphln khwamepnphiseruxrng hruxxaccaekidkhwamepnphisinlksnaechphaa echn karklayphnthu karekidmaerng epntnpraephthkhxngsarphispraephthkhxngsarphis sarphissamarthaebngidepn 9 chnid 1 sarphispxngknkacdstruphuch Pesticides hmaythungsarphisthimiswnphsmkhxngsarekhmithixxkvththithalayhruxkhbilstruphuchstw swnmnusyepntwsrangsarphisthisakhynnexng sarphispxngknaelakacdaemlng Insecticides epnsarphisthiichpxngknaelakacdaemlng hnxnkhxngphuch stw aelamnusy xacepnsarphisthixyuinthrrmchatihruxepnsarphisthimnusysngekhraahkhun sarphisthimnusysngekhraahkhunmi 4 klum idaek 1 1klumxxraeknonkhlxrin Organocholrine sarphisklumnimikhwamkhngtwslaytwidyak bangchnidmiphistkkhangepnsib pi miprasiththiphaphinkarkacdaemlng mivththikkprasaththaihhnamudwingewiynsirasaaelaxacthaihhwicwayaelatayid sarphiscaphwkni idaek didithi xxldrin dildrin exndrin ehpkhakhlxr linaedn aelaxun 1 2klumxxraeknonfxseft Organophosphate epnsarthimifxsfxrs P epnxngkhprakxbsakhy sarphisklumnislaytwidngayaelamiphistkkhanginsingaewdlxmimnannk echliypraman 3 15 wn camiphisrunaerng miprasiththiphaphinkarkacdaemlngiddi sarphisphwknicamiphltxradbkhwamdnolhitaelaradbexnismokhlinexssetxers Cholinesterase ineluxd hakidrbsarekhaipcawingewiynsirsa khlunis epntakhriw sarphiscaphwkni idaek kharbaril kharobfuern ibkxn aelaxun 1 3klumibrirxy Pyrethroids epnsarphisthimiinthrrmchatiaelacakkarsngekhraahkhunkhxngmnusy sarphisklumniichkhaaemlngiddi aetmithunsungephraathuninkarsngekhraahcasungkwakarskdinthrrmchati sarphisklumnimikarslaytwngay miphistxmnusyaelastweluxdxunnxy 2 olhahnk epnsarphisthiphbinthrrmchatiaelathimnusysngekhraahkhun olhahnkthisakhy idaek takw epnolhathimnusynamaichpraoychntang makmay echn ichepnsarphsminnamnechuxephling thaolhaecux sithaehlk krasunpun ichinxutsahkrrmaebtetxri xutsahkrrmkrdslfurikh epntn takwsamarthpapnxyuinxahar inbrryakasaelasingaewdlxmxun id takwmiphisthaihekidkarepliynaeplngkhxngemdeluxdthimiphlkrathbtxprasathaelathaihekidxntraytxit 3 sarrakhayphiw epnsarthithaihekidorkhphiwhnngxkesbid idaek phwkthidungnaxxk emuxthukphiwhnngcadungcaxxkphiw ekidkhwamrxnihkrdthikdphiwhnng echn slefxridxxkisd slefxrithrxxkisd fxsfxrsephnthxkisd aekhlesiymxxkisd aekhlesiymkhlxird phwkthilalayikhmn idaek twthalalaythiichknthw ip echn xasiotn xiethxr exsetx sarlalaydang twthalalaynicalalayikhmntamthrrmchatiaelaxaclalayphiwchnnxkiddwy phwkthithaptikiriyakbna nacathaihsarhlaychnidaetktwihxixxn echn nakbfxsfxrsephntakhlxird ihkhlxidxixxnaelakrdihihopokhrs epntn phwkthitktakxnoprtin echn ekluxkhxngolhatang krdaethnnil fxmadiihd aexlkxhxl aelaxun phwkridiwesxr caipdungxxksiecnxxkmaaelasngphlihphiwlxkhruxphiwchnnxkhnakhun echn ihodkhwinonn slifth epntn phwkxxksiidesxr sungcarwmkbihodrecn plxyxxksiecnxxkma echn khlxrin efxrrkhkhlxird krdokhrmil sarepxaemngka enth epntn phwkthaihepnmaerng odyipkratunkaretibotkhxngchnphiwnxkaelaklayepnesllmaerng 4 sarthiepnphnghruxfunsungmixnuphakhelk ekhasurangkayodykarhayic twxyangechn phngfunkhxngaexsebsetxsthaihekidorkhpxdaekhng Asbestosis phngfunkhxngsiliekthepnxntraytxpxd phngfunkhxngolhatang echn takw prxth aekhdemiym aelaxun 5 sarthiixepnphis epnsarekhmithiihixphis haksuddmekhaipthaihepnxntraytxrangkay idaek twthalalaychnidtang echn ebnsin kharbxnidslift kharbxnekhdtakhlxird emththibaexlkxhxl 6 kasphis mihlaychnidthiepnpraoychnindanxutsahkrrmthcmikasphisbangchnidthixntraymak odysngphlihrangkaykhadxxksiecn thaihrangkayrakhayekhuxng echn phxscin inotrecnxxkisd kharbxnmxnxkisd 7 sarekhmiphsminxahar epnsarekhmithinamaisekhaipinxaharodymicudmunghmayephuxpxngknmiihxaharesiy aelaephuxkhnghruxephimkhunsmbtithangfisikskhxngxahar tlxdcnephuxihxaharnnmiklin rs si thinarbprathanmakyingkhun sarekhmiehlani bangchnidthaisinprimanmakekinipkcakxihekidepnphisepnxntraytxphubriophkhid twxyang echn sarinetrthinitrth phngchurs osediym ebnosexth epntn nxkcaknisarekhmibangchnidkepnsarthiepnphismixntraytxphubriophkhid twxyangechn siyxmpha krdkamathn bxaerks krdsalioslik epntn 8 sarthisngekhraahodysingmichiwitxun idaek sarthisngekhraahcakechuxra aebkhthieriy phuch aelastwbangchnid twxyangkhxngsarphisthiekidcakechuxra echn sarphis Aflatoxin ekidcakechuxraphwk Aspergillus flavus thikhunxyuinthwlisng khawophdhruxxaharaehngxun hruxsarphis Botulinum toxin ekidcakechuxaebththieriy Clostridium botulinum thikhuninxaharkrapxngthiphlitimidmatrathansarphis Trichothecene hrux T 2 toxin ekidcakechuxra Fusarium tricinetum thikhuninkhawophd epntn sahrbphuchaelastwthisamarthsrangsarphisid echn ehdphis klxy mnsapahlng khangkhk ehra stwthaelchnidhnung plapkepa epntn 9 sarkmmntphaphrngsi epnsarthisamarthaephrngsimacaktwexngid mnusyidmamaichpraoychnindantang thisakhykhuxindankaraephthy aelakarphlitiffa sarkmmntphaphrngsinbepnsarthimiphistxsingmichiwitmakthisud emuxepriybethiybkbsarphischnidxun odycathaxntrayodytrng aelathaythxdipsulukhlanidxikdwy kmmntphaphrngsithiaephxxkmami 3 chnid khux rngsixlfa rngsiebta aelarngsiaekmma sarkmmntphaphrngsiinthrrmchatimihlaytrakul aetthisakhythisud khux trakulyuereniym aelatrakulthxeriym thisakhyrxnglngmakhux opaetsesiym 40 yubiediym 87 smaeriym 147 lusietiym 176 aelaerediym 220 epntnkarekhasurangkaykhxngsarphissarphisekhasurangkayid 3 thang khux thangcmuk epnkarekhasurangkaydwywithikarsuddm laxxngkhxngsarphiscaekhaippapnkblmhayicsungsarphisbangchnidcamivththikdkrxn sngphliheyuxcmukaelahlxdlmxkesbhruxsarphissumphanenuxeyuxekhasukraaesolhitsngphliholhitepnphis thangpak xacepnkarekhapakodybangkhrngeraimrutw echn hyibxaharrbprathanodythiimlangmux hruxkinphkphlimthimisarekhmitkkhangxyu hruxinbangkrnithitngickinsarphisephuxkhatwtay thangphiwhnng epnkarsmphshruxcbtxngsarphis sungsarphissamarthsumekhasuphiwhnngid emuxekhaipthaptikiriyakbrangkaythaihekidphistxrangkay sarphisemuxekhasurangkayaelw imwacaepnthangidktam hakmikhwamekhmkhncathaptikiriya n cudsmphsaelasumekhasurangkayhruxkraaesolhit kraaesolhitcaphasarphisipthwrangkay khwamsamarthinkaraephrekhasuolhitcakhunxyukbkhunsmbtikarlalaynakhxngsarphisnnaelasarphisbangchnidrangkaysamarthkhbxxkthangitid aetcasngphltxthangedinpsswaaelakraephaapsswa xikthngyngmisarphisbangchnidthithuksasmiwthitbaelaikhmnxntraycaksarphis aelawithikarpxngknsarphis sarekhmi hruxwtthuthiekhasurangkayinprimanthithaptikiriyatxokhrngsrangaelahnathikhxngrangkay cnthaihekidxntraytxchiwit xntraythiekidkhunxaccamakhruxnxykhunxyukbchnidaelaprimansarphisthiidrb sarphisekhasurangkayid 4 withi khux 1 thangpak 2 thangrabbthangedinhayic 3 thangphiwhnng 3 kardmklin karidrbsarphisaebbechiybphln Acute exposure hmaythung karidrbsarphisinprimanmakinrayaewlanxykwa 24 chwomng swnihycaepnkarchidekhachxngthxng chidekhaitphiwhnng karkin hruxkarthathiphiwhnngodytrng epntn karidrbsarphisaebbkungechiybphln Subacute exposure hmaythung karidrbsarphisekhasurangkayinprimannxytidtxknepnewla 1 eduxn hruxnxykwa karidrbsarphisaebbkungeruxrng Subchonic exposure hmaythung karidrbsarphisekhasurangkayinprimannxytidtxknepnewla 1 3 eduxn karidrbsarphisaebberuxrng Chonic exposure hmaythung karidrbsarphisekhasurangkayphayinprimannxyepnewlananekin 3 eduxnkhunip withikarpxngknxntraycaksarphis 1 phyayamhlikeliyngcakkarichsarekhmiaelasarphisinkarthakickrrm 2 khwrsuksaaelathakhwamekhaicwithikarichsarekhmi aelaxntraythiekidkhunaetlachnid 3 khwrichxupkrnu ekhruxngmuxinkarpxngknxntraykhnathithanganekiywkbsarekhmi 4 khwrmikartrwcsukhphaphsahrbphuthithanganekiywkhxngkbsarphisaelasarekhmi xyangnxypilahnungkhrng 5 phyayamhlikeliyngkarxyuinbriewnthimisarekhmi ephuxpxngknsarphisekhasurangkaythangphiwhnng thangpakaelathangcmuk 6 emuxtxngichsarekhmi khwrxanchlakkakbihekhaickxnich aelakhwrptibtitamkhaetuxnxyangekhrngkhrd 7 xyathingphachnathibrrcusarekhmi hruxsarphislngipinaemna lathar 8 phachnathibrrcusarekhmihruxsarphis emuxichhmdaelwihfngdinhruxthalayodythnthiwithikarptibtiemuxthuksarphis1 emuxsarphisekhathangphiwhnng 1 1 txngriblangdwynasaxadmak 1 2 hakthuksarekhmithiepnkrdtxnglangdwynasaxadaelalangdwysarlalayximtwkhxngosediymibkharbxent 1 3 hakthuksarekhmithiepndangtxnglangdwynasaxadaelalangdwysarlalaykhxngkrdnasm 1 4 haksarekhmimikrdhruxdangekhatatxngriblangxxkdwynasaxadaelalumtainnasaxadaelwribnasngaephthythnthi 2 emuxsarphisekhathangpak 2 1 phyayamthaihxaeciyrxxkmaodyichnaxunmakklwkhx aetthakinkrdhruxdangekhaiphamthaihxaeciyr aetthathrabwakinkrdekhaipihkinnasbuxxn aetthakindangekhaipihkinnasmsaychuxxn hruxnasmkhn aelwribnasngorngphyabal 2 2 ribihkhwamxbxunaekrangkay aelwribnasngorngphyabalthnthi 2 3 thaphupwyhmdsti ichepalmekhathangpak thangcmuk aelwnasngorngphyabal thaphupwyrusuktwaelw ihthaihphupwyxaeciyrthnthi 3 emuxsarphisekhathangcmuk 3 1 khwrnaphupwyxxkcakbriewnthimisarphisaelasarekhmi 3 2 chwyihphupwyhayicidsadwk ihepalmekhathangcmukhruxthangpak 3 3 ichyadmchun ephuxchwyinkarkratunkarhayicidsadwkkhunxangxinghttp www summacheeva org index thaitox basic htm 2017 03 21 thi ewyaebkaemchchin https wedbre wordpress com 2015 02 26 E0 B8 AA E0 B8 B2 E0 B8 A3 E0 B8 9E E0 B8 B4 E0 B8 A9 E0 B8 96 E0 B8 B9 E0 B8 81 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B9 88 E0 B8 87 E0 B8 AD E0 B8 AD E0 B8 81 E0 B9 80 E0 B8 9B E0 B9 87 E0 B8 99 9 E0 B8 8A http riskcomthai org duephimmlphisaehlngkhxmulxunA Small Dose of Toxicology 2012 01 18 thi ewyaebkaemchchin Agency for Toxic Substances and Disease Registry ATSDR Case Studies in Environmental Medicine ToxFAQs Public Health Statements PHSs Toxicological Profiles Minimal Risk Levels MRLs for Hazardous Substances Medical Management Guidelines MMGs for Acute Chemical Exposures Managing Hazardous Material Incidents Interaction Profiles for Toxic Substances CERCLA Priority List of Hazardous Substances A Toxicology Curriculum for Communities Society of Toxicology American College of Toxicology hazard com Toxicity and hazard data on industrial chemicals International Conference on Harmonisation