พระอุรุเวลกัสสปะ เป็นหนึ่งใน[อสีติมหาสาวก]]ของพระโคตมพุทธเจ้า เป็นเอตทัคคะในด้านผู้มีบริวารมาก
พระอุรุเวลกัสสปะ | |
---|---|
ภาพวาดพระอุรุเวลกัสสปะ ขณะยังเป็นชฏิล ๓ พี่น้อง | |
ข้อมูลทั่วไป | |
ชื่อเดิม | อุรุเวลกัสสปะ |
ชื่ออื่น | อุรุเวลกัสสปะ, อุรุเวลชฎิล |
สถานที่บวช | |
วิธีบวช | เอหิภิกขุอุปสัมปทา |
สถานที่บรรลุธรรม | คยาสีสะ |
เอตทัคคะ | ผู้มีบริวารมาก |
ฐานะเดิม | |
วรรณะเดิม | พราหมณ์ (กัสสปะโคตร) |
การศึกษา | จบ |
สถานที่รำลึก | |
สถานที่ | คยาสีสะ สถานที่ชฏิล 3 พี่น้องบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ |
ส่วนหนึ่งของ |
ชาติกำเนิด
พระอุรุเวลกัสสปะ เกิดในตระกูลพราหมณ์กัสสปโคตร มีน้องชาย 2 คน ชื่อ กัสสปะ เหมือนกัน เมื่อเจริญวัยขึ้นมา ได้ศึกษาจบไตรเพท คือ พระเวท 3 อย่าง ซึ่งเป็นคัมภีร์ ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของพราหมณ์ ได้แก่
- ฤคเวท (อรุพเพท) ประมวลบทสวดสรรเสริญเทพเจ้า
- ยชุรเวท (ยชุพเพท) บทสวดอ้อนวอนในพิธีบูชายัญต่าง ๆ
- สามเวท ประมวลบทเพลงขับสำหรับสวงงดหรือร้องเป็นทำนองในพิธีบูชายัญ
กัสสปะพี่ชายคนโตนั้นมีบริวาร 500 คน กัสสปะคนกลางมีบริวาร 300 คน และกัสสปะคนเล็กสุดท้าย มีบริวาร 200 คน ต่อมาทั้งสามพี่น้องมีความเห็นตรงกันว่า “ลัทธิที่พวกตนนับถืออยู่นั้นไม่มีแก่นสาร” จึงพากันออกบวชเป็นฤๅษีชฎิล เกล้าผมเซิง บำเพ็ญพรตบูชาไฟตั้งอาศรมอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เนรัญชรา ตามลำดับกัน พี่ชายคนโต ตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งน้ำตอนเหนือ ณ ตำบลอุรุเวลา จึงได้ชื่อว่า “อุรุเวลกัสสปะ” น้องชายคนกลาง ตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งน้ำถัดไป ณ ตำบลนที จึงได้ชื่อว่า “นทีกัสสปะ” ส่วนน้องชายคนเล็ก ตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งน้ำ ณ ตำบลคยา จึงได้ชื่อว่า “คยากัสสปะ”
ในอดีตชาติ พระอุรุเวลกัสสปะเถระ บังเกิดขึ้นในเรือนของผู้มีตระกูลในเมืองหงสาวดี พอเติบโตขึ้นแล้ว ได้ไปฟังพระธรรมเทศนาของพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เห็นพระองค์ทรงตั้งพระเถระรูปหนึ่งไว้ ในตำแหน่งอันเลิศที่สุดกว่าพระสาวกทั้งหลายฝ่าย "มีบริวารมาก" จึงคิดว่าเราจะได้เป็นเช่นพระเถระนั้นบ้างในอนาคต
กุลบุตร (อุรุเวลกัสสปะ) เมื่อคิดดังนี้แล้ว จึงจัดการถวายมหาทานแด่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน การถวายมหาทานกระทำอยู่ทั้งหมด 7 วัน และในวันสุดท้ายได้ถวายผ้าไตรจีวรแล้วตั้งความปารถนาว่า ขอให้ข้าพระองค์ได้รับตำแหน่งอันเลิศที่สุดด้านมีบริวารมาก ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ด้วยผลของบุญกุศลนี้ ในอนาคตกาลโน้นเถิด พระเจ้าข้า
พระปทุมมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพิจารณาเป็นถึงความเป็นไปในอนาคตกาลของกุลบุตรนั้น ไม่มีเหตุขัดข้องแต่ประการใด จึงทรงพยากรณ์ว่า เธอจะได้เป็นผู้เลิศฝ่ายมีบริวารมากสมตามความปรารถนา ในศาสนาของพระสมณโคดมพุทธเจ้า โดยจะเสด็จขึ้นในหนึ่งแสนกัปข้างหน้าโน้น
กุลบุตรนั้น ฟังคำพุทธพยากรณ์แล้ว เกิดความยินดีเป็นอย่างยิ่งราวกับว่า ความปรารถนาจะสำเร็จในวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ แล้วสร้างกัลยาณกรรมต่อมาจนตลอดชีวิต เมื่อนับถอยหลังจากกัปนี้ไปอีก 92 กัป ชาติหนึ่งท่านกลับมาเกิดเป็นพระอนุชาต่างพระมารดากับพระผู้มีภาคเจ้า ผู้ทรงพระนามว่า พระปุสสสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระราชบิดานามว่า พระมหินทราชา และมีพระอนุชาอีก 2 พระองค์ รวมเป็น 3 พระองค์ และแต่ละองค์มียศถาบรรดาศักดิ์ต่างๆ กัน
ครั้งหนึ่งที่ปลายเขตแดนของพระมหินทราชาเกิดมีข้าศึกศัตรูมารุกราน พระราชาจึงเรียกพระโอรสทั้ง 3 พระองค์ไปปราบข้าศึก และทรงสามารถปราบข้าศึกศัตรูจนราบคาบ ระหว่างทางกลับจึงปรึกษาหารือกันว่าเราทำงานได้สำเร็จ เมื่อพระราชบิดาพระราชทานพรแก่ตนแล้ว จะเลือกรับพรอะไรดี แล้วมีดำริตรงกันว่า ไม่ว่าจะเป็นพระราชสมบัติใดๆ ก็ตาม ที่องค์สมเด็จพระราชบิดาจะพระประทาน ไม่มีอะไรจะสำคัญเท่ากับ การได้ปฏิบัติบำรุงพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระเชฎฐาธิราชนั้นเลย เนื่องจากพระราชบิดานั้นคิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นของพระองค์คนเดียว จึงทรงถวายทานและไม่ให้ผู้อื่นร่วมทำบุญด้วย ครั้นเมื่อพระราชโอรสทั้งสามพระองค์มาถึงพระนคร ก็กราบทูลชัยชนะให้ทรงทราบ และขอพระราชทานพรดังที่ปรึกษากันอันนั้น เมื่อได้รับพรแล้ว ก็ทำการสมาทานศีล 10 ประการ แต่งตั้งบุรุษ 3 คนให้เป็นผู้ดูแลโรงทาน คอยตกแต่งไทยธรรมถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยให้บุรุษผู้หนึ่งจัดหาธัญญาหาร บุรุษผู้หนึ่งเป็นพนักงานตรวจนับ และบุรุษอีกผู้หนึ่งเป็นพนักงานตกแต่งไทยธรรม พนักงานทั้งสามท่านนั้นใน ครั้นมาถึงในชาติปัจจุบัน ผู้เป็นพนักงานจัดหาธัญญาหาร กลับมาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นพนักงานจัดหาธัญญาหารกลับมาเกิดเป็น และผู้เป็นพนักงานตกแต่งไทยธรรมกลับมาเกิดเป็น
พระราชโอรสทั้งสามพระองค์เสด็จพากันไปทรงสมาทานศีล 10 ประการ อยู่จนตลอดไตรมาส (3 เดือน) เพื่อยึดหลักแห่งการบูชาสูงสุด ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งสอน แม้ว่าจะมีการปฏิบัติด้วยการบริจาคจตุปัจจัยบำรุงแล้วก็ตาม
พอออกพรรษาแล้วพระราชโอรสทั้ง 3 พระองค์ทรงจัดการถวายไทยธรรมด้วยพระองค์เอง ทั้งยังทรงกระทำบุญอยู่จนตลอดพระชนมชีพ ครั้นมาถึงชาติสุดท้ายนี้ พระราชโอรสทั้ง 3 พระองค์ กลับมาเกิดในตระกูลพราหมณ์ กัสสปโคตร ก่อนพระพุทธเจ้า และมีชื่อเหมือนกันหมดทั้งสามคนคือ กัสสปะ แต่มีคำนำหน้าชื่อที่ต่างกันออกไปตามที่อยู่ เช่นองค์ที่อยู่ที่ ตำบลอุรุเวลา มีชื่อว่า อุรุเวลกัสสปะ องค์ที่อยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำมหาคงคานที จึงถูกเรียกว่า นทีกัสสปะ และคนสุดท้องมีชื่อว่า คยากัสสปะ เพราะอาศัยอยู่ที่ตำบลคยาสีสะ
การได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในด้านผู้มีบริวารมาก
พระอุรุเวลกัสสปะได้รับยกย่องในทางผู้มีบริวารมาก (ที่เป็นพระอรหันต์ 1,002 องค์) เนื่องจากท่านเป็นผู้ประกอบด้วยพรหมวิหารธรรม อันเป็นธรรมสำหรับผู้ใหญ่ใช้ปกครองดูแลบริวารให้มีความสุข ซึ่งประกอบด้วย
- เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข
- กรุณา ความสงสาร ปรารถนาจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
- มุทิตา ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
- อุเบกขา ความวางเฉย ไม่ดีใจไม่เสียใจเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ
ด้วยคุณธรรมเหล่านี้ และอีกทั้งรู้จักบำรุงจิตใจบริวารด้วยการสงเคราะห์ ด้วยวัตถุสิ่งของและหลักธรรมะ จึงทำให้ท่านสามารถยึดเหนี่ยวจิตใจบริวารไว้ได้ เป็นที่รักเคารพของบริวาร และก็เป็นพุทธสาวกรูปเดียวที่มีบริวารมากที่สุด พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าพระสาวกทั้งปวง ในฝ่ายผู้มีบริวารมาก
ความสำคัญในพระพุทธศาสนา
เมื่อพระพุทธองค์ ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว และจำพรรษาแรกที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในพรรษานั้นมีพระสงฆ์สาวกผู้สำเร็จพระอรหันต์ จำนวน 60 รูป เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว พระบรมศาสดาได้ส่งพระสาวกทั้ง 60 รูปนั้น ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังถิ่นต่าง ๆ ส่วนพระองค์เองเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
ในระหว่างทาง เสด็จเข้าไปประทับพักผ่อนภายใต้ร่มไม้ริมทางในไร่ฝ้าย ขณะนั้นมีพระราชกุมาร 30 พระองค์ ผู้ได้นามว่า “ภัททวัคคีย์” ได้พาภรรยาไปเที่ยวหาความสุขสำราญในราชอุทยาน ราชกุมารองค์หนึ่งไม่มีภรรยา จึงพาหญิงโสเภณีไปเป็นคู่เที่ยว เมื่อพวกราชกุมารกำลังเพลิดเพลินสนุกสนานกันอยู่นั้น หญิงโสเภณีได้ขโมยของมีค่าหนีไป พวกราชกุมารออกติดตามมา ได้พบพระผู้มีพระภาคที่ไร่ฝ้าย จึงเข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลถามว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์เห็นหญิงคนหนึ่งผ่านมาทางนี้บ้างหรือไม่ พระเจ้าข้า" “พวกท่านเห็นว่า การแสวงหาหญิงกับการแสวงหาสิ่งประเสริฐในตนสิ่งไหนจะดีกว่ากัน" “แสวงหาสิ่งประเสริฐในตนดีกว่า พระเจ้าข้า” “ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงนั่งลง ตถาคตจะแสดงธรรมให้ฟัง” พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้ฟัง จนทั้งหมดได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ตั้งแต่ชั้นพระโสดาบัน ถึงชั้นพระสกทาคามี และพระอนาคามีทุกพระองค์ จากนั้น พระพุทธองค์ประทานการอุปสมบทให้แล้ว ส่งไปประกาศพระพุทธศาสนา
พระบรมศาสดา เสด็จต่อไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เสด็จเข้าไปยังสำนักของอุรุเวลกัสสปะ ตรัสขอพักอาศัยสักหนึ่งราตรี แต่อุรุเวลกัสสปะ เห็นว่าเป็นนักบวชต่างลัทธิ จึงบ่ายเบี่ยงว่าไม่มีสถานที่ให้พัก พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ธรรมดาว่าโคย่อมเข้าไปสู่ฝูงโค นักบวชก็ย่อมเข้าไปสู่สำนักของนักบวช ถ้าท่านไม่มีความหนักใจ ตถาคตจะขอพักอาศัยอยู่ในโรงไฟ ซึ่งเป็นที่บูชายัญของท่านนั้น” “ดูก่อนมหาสมณะ เรามิได้หนักใจ ถ้าท่านจะพักในที่นั้น แต่ว่ามีพญานาคดุร้ายและมีพิษมาก อยู่ในโรงไฟนั้น เกรงว่าท่านจะได้รับอันตรายถึงชีวิตก็ได้” เมื่ออุรุเวลกัสสปะไม่ขัดข้อง พระพุทธองค์จึงเสด็จเข้าไปในโรงไฟ ทรงพิจารณาตรวจดู สถานที่อันสมควรแล้ว ประทับนั่งสมาธิเจริญกรรมฐาน ฝ่ายพญานาค เห็นผู้แปลกหน้าผิดกลิ่นเข้ามาในโรงไฟของตนก็โกรธ จึงพ่นพิษออกมาเป็นควันไฟอบอวลทั่วทั้งโรงไฟ หวังจะทำอันตรายให้สิ้นชีวิต แต่พระพุทธองค์ทรงแสดงพุทธานุภาพให้ปรากฏ ด้วยการบันดาลให้ควันไฟกลับไปสัมผัสเนื้อ หนัง เอ็น และกระดูกของพญานาค ทำให้ฤทธิ์เดชของพญานาคเหือดหายไป บังเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาแทน
ละลัทธิเดิม
ในราตรีนั้น พระพุทธองค์ทรงทรมานพญานาค ด้วยวิธีต่าง ๆ ทรงเข้าเตโชกสิณสมาบัติบันดาลให้เปลวไฟรุ่งโรจน์โชตนาการทั่วโรงไฟ เหล่าชฎิลทั้งหลายต่างมองดูด้วยความดีใจว่า “พระสมณะ คงจะวอดวาย ในกองเพลิงด้วยพิษของพญานาค อย่างแน่นอน” ในที่สุด พระพุทธองค์ ก็ทรงปราบพญานาค จนสิ้นฤทธิ์โดยสิ้นเชิงแล้วจับเอาลงไปขดไว้ในบาตรรุ่งเช้า อุรุเวลกัสสปะ พาศิษย์ชฎิลมาตรวจดู เมื่อเป็นเหตุการณ์เช่นนั้นจึงคิดว่า “พระสมณะนี้ มีอานุภาพมาก สามารถปราบพญานาคให้พ่ายแพ้ได้ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมิได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา” คิดดังนี้แล้ว จงยังมิยอมรับนับถือ แต่ก็รู้สึกเลื่อมใสในอิทธิปาฏิหาริย์ และนิมนต์ให้พักอยู่ต่อไปได้ โดยพวกตนจะเป็นผู้นำอาหารมาถวายทุกวัน
วันต่อมา พระพุทธองค์เสด็จเข้าไปประทับที่ชายป่าใกล้ ๆ อาศรมของอุรุเวลกัสสปะนั้น ในยามราตรีของแต่ละคืน ได้มีทวยเทพเทวาตั้งแต่ชั้น จาตุมหาราชทั้ง 4 ท้าว โกสีย์เทวราช และ ต่างก็มาเข้าเฝ้าเพื่อฟังพระธรรมเทศนา ได้เปล่งรัศมีแสงสว่างทั่วทั้งไพรสณฑ์ ยังความฉงนสนเท่ห์ให้เกิดแก่อุรุเวลกัสสปะ และบริวารเป็นอย่างยิ่ง ครั้นรุ่งเช้า ได้กราบทูลถามเหตุที่มาของแสงสว่างนั้น ครั้นได้ทราบความตลอดแล้วรู้สึกศรัทธาเลื่อมใสและดำริอยู่ในใจว่า “อานุภาพของพระสมณโคดมนี้ยิ่งใหญ่หาผู้เปรียบมิได้ แม้แต่เทพยาดาทุกชั้นฟ้า ยังมาเข้าเฝ้าเพื่อขอฟังธรรม แต่ถึงจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม ก็ยังมิได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเช่นเรา”พระบรมศาสดา ทรงพักอยู่ในสำนักของอุรุเวลกัสสปะ เป็นเวลา 2 เดือน ทรงแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ทรมานอุรุเวลกัสสปชฎิล หลายประการ แต่อุรุเวลกัสสปะ ผู้มีสันดานกระด้าง มีทิฏฐิแรงกล้ายังถือตนเองว่าเป็นพระอรหันต์อยู่เช่นเดิม
พระพุทธองค์ทรงดำริว่า “ตถาคต จะยังโมฆบุรุษชฏิลนี้ ให้เกิดความสลดสังเวช” ดังนี้แล้วจึงตรัสว่า “ดูก่อนกัสสปะ ตัวท่านมิได้เป็นพระอรหันต์ ทางปฏิบัติของท่านยังห่างไกลต่อการสำเร็จเป็นพระอรหันต์ มิใช่ทางมรรคผลอันใดเลย ไฉนท่านจึงถือตนว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านลวงตนเองแล้วยังลวงคนอื่น ถ้าท่านรู้สึกสำนึกตัว และปฏิบัติตามคำสอนของเรา ท่านจะได้เป็นพระอรหันต์ที่แท้จริงในไม่ช้า”อุรุเวลกัสสปะ ได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้วก็รู้สึกสลดใจ ก้มศีรษะลงแทบพระบาทกราบทูลขออุปสมบท พระบรมศาสดา จึงตรัสแก่เธอว่า “กัสสปะ ท่านเป็นอาจารย์เจ้าสำนักที่ยิ่งใหญ่ มีบริวารมากกว่า 500 คน ท่านจงบอกให้บริวารของท่านทราบทั่วกันก่อน ตถาคตจึงจะอุปสมบทให้ท่าน”
อุรุเวลกัสสปะ จึงประกาศชักชวนชฎิลบริวารของตนทั้งหมด พากันลอยบริขารดาบส มีเครื่องแต่งผมเป็นชฎา และเครื่องบูชาเพลิง เป็นต้น ลงในแม่น้ำแล้วทูลขออุปสมบท พระบรมศาสดา ประทานการอุปสมบทด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา พร้อมกันทั้งหมดฝ่าย นทีสัสสปะ และ คยากัสสปะ น้องชายทั้งสองคน ซึ่งตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งน้ำตอนใต้ลงไปตามลำดับ เห็นบริขารของพี่ชายลอยมาตามน้ำ ทำให้คิดว่า “อันตรายคงจะเกิดมีแก่พี่ชายของตน” จึงพร้อมด้วยบริวารรีบมาที่สำนักของพี่ชาย เห็นพี่ชายอยู่ในเพศพระภิกษุ จึงสอบถามได้ความว่า “พรหมจรรย์นี้ประเสริฐยิ่งนัก” จึงพากันลอยบริขารลงในแม่น้ำแล้วขออุปสมบทด้วยกันทั้งหมด
ฟังอาทิตตปริยายสูตร
พระพุทธองค์ ประทับอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม พอสมควรแก่พระอัธยาศัยแล้ว จึงเสด็จพร้อมด้วยหมู่ภิกษุชฎิลเหล่านั้น จำนวน 1,003 รูป ไปยัง ตำบลคยาสีสะ และประทับอยู่ ณ ที่นั้น ทรงพิจารณาเห็นอินทรีย์ของภิกษุใหม่ แก่กล้าแล้ว จึงตรัสเรียกท่านเหล่านั้นมาประชุมพร้อมกันแล้วตรัสพระธรรมเทศนา “อาทิตตปริยายสูตร” ทรงเปรียบเทียบสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อนดุจเดียวกับไฟ เพื่อให้เหมาะสมกับอัธยาศัยของพวกเธอ ที่เคยบูชาไฟมาก่อน
ทรงแสดงถึงอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เป็นของร้อน และความรู้สึกว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ เพราะตาเห็นรูป หรือหูได้ยิน เป็นต้น ก็เป็นของร้อนใจความโดยสรุปก็คือ เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายได้สัมผัส และใจกระทบอารมณ์ แล้วทำให้เกิดความเร่าร้อน ร้อนเพราะราคะ โทสะ และโมหะ เป็นต้น ผู้ได้สดับและรู้เท่าทันกิเลสเหล่านี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งทั้งปวง เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เมื่อคลายกำหนัดแล้ว จิตก็ไม่ยึดมั่นไม่ถือมั่นสิ่งเหล่านั้น
ขณะที่พระบรมศาสดา ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่นั้น ภิกษุชฎิล ทั้ง 1,003 รูป ส่งกระแสจิตไปตามวาระแห่งพระธรรมเทศนา จิตของพวกเธอ ก็หลุดพ้นจากกิเลสาสวะทั้งปวง สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพด้วยกันทั้งหมด
ช่วยประกาศศาสนา
พระอุรุเวลกัสสปะ เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้ช่วยกิจการพระพุทธศาสนา และช่วยแบ่งเบาภาระของพระบรมศาสดา ได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์ใหม่ ๆ ได้ติดตามเสด็จพระบรมศาสดาไปสู่เมืองราชคฤห์ พระพุทธองค์ประทับ ณ ลัฏฐิวันสวนตาลหนุ่ม พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ จึงพร้อมด้วยพราหมณ์ และคฤหบดีชาวเมืองมคธ จำนวน 12 นหุต เสด็จเข้ามาเฝ้า กราบถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้วประทับนั่ง ณ ที่อันสมควรแก่พระองค์ ส่วนบริวารที่ติดตามมาเหล่านั้น ต่างก็แสดงกิริยาอาการต่าง ๆ กัน คือ บางพวกก็ถวายบังคม บางพวกก็กราบทูลสนทนา บางพวกก็ประกาศชื่อและตระกูลของตน บางพวกก็นั่งเฉย ๆ เป็นต้น
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะคนเหล่านั้นยังไม่แน่ใจว่าระหว่างพระบรมศาสดากับอุรุเวลกัสสปะ นั้นใครเป็นศิษย์ใครเป็นอาจารย์กันแน่ เพราะว่า อุรุเวลกัสสปะ ก็เป็นเจ้าสำนักใหญ่ มีคนเคารพนับถือมากมาย และได้รับยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งพระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตความคิดของคนเหล่านั้นเป็นอย่างดี เพื่อปลดเปลื้องความสงสัยของคนเหล่านั้น จึงตรัสถามพระอุรุเวลกัสสปะ ว่า “กัสสปะ เธออยู่ในอุรุเวลาเสนานิคมมานาน เป็นอาจารย์สั่งสอนชฎิลให้บำเพ็ญพรต จนซูบผอม เธอเห็นโทษอะไรหรือ จึงเลิกละการบูชานั้นเสีย?” พระอุรุเวลกัสสปะ เมื่อได้ฟังพุทธดำรัสแล้ว ก็ทราบถึงพุทธประสงค์ดี จึงน้อมนมัสการกราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค การบูชายัญทั้งหลาย ล้วนแต่มีความมุ่งหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งกามคุณ มีรูป เสียง กลิ่น รส และ สัมผัส อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นของร้อน บัดนี้ ข้าพระองค์ ได้รู้ชัดแล้วว่า ความรักใคร่ พอใจในกามคุณเหล่านั้น เป็นมลทิน ทำใจให้เศร้าหมอง ก่อให้เกิดกิเลส และความทุกข์ จึงละทิ้งการบูชาไฟนั้นเสีย บัดนี้ ข้าพระองค์ ได้เห็นธรรมอันสงบระงับแล้ว” พระเจ้าข้า ครั้นแล้ว พระเถระได้ซบศีรษะลงแทบพระบาทของพระพุทธองค์ แล้วประกาศว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เป็นศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า ๆ เป็นสาวกของพระองค์” จากกิริยาอาการและถ้อยคำของพระเถระนั้น ทำให้บริวารของพระเจ้าพิมพิสารทั้งหมดเหล่านั้นหายสงสัย น้อมจิตลงที่ฟังพระธรรมเทศนา ดังนั้น พระบรมศาสดา จึงทรงแสดง “” และ “อริยสัจ 4” ให้ฟังเมื่อจบพระธรรมเทศนา พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร 11 นหุตะ ได้บรรลุโสดาปัตติผล ส่วนอีก 1 นหุตะ ดำรงอยู่ในไตรสรณคมน์ ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ
อ้างอิง
- ชีวประวัติพุทธสาวก ประวัติพระอัจฉริยะมหาเถระเมื่อครั้งพุทธกาล เล่ม 1 จำเนียร ทรงฤกษ์ , 2542 , พิมพ์โดยสำนักปฏิบัติธรรมสวนแก้ว (สาขาวัดปากน้ำ), พิมพ์โดย สำนักพิมพ์ธรรมสภา
- เว็บไซต์ 84000
- เว็บไชต ธรรมะ เกตเวย์ 2009-04-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
phraxuruewlksspa epnhnungin xsitimhasawk khxngphraokhtmphuththeca epnextthkhkhaindanphumibriwarmakphraxuruewlksspaphaphwadphraxuruewlksspa khnayngepnchtil 3 phinxngkhxmulthwipchuxedimxuruewlksspachuxxunxuruewlksspa xuruewlchdilsthanthibwchwithibwchexhiphikkhuxupsmpthasthanthibrrluthrrmkhyasisaextthkhkhaphumibriwarmakthanaedimwrrnaedimphrahmn ksspaokhtr karsuksacbsthanthiraluksthanthikhyasisa sthanthichtil 3 phinxngbrrluthrrmepnphraxrhntswnhnungkhxngsaranukrmphraphuththsasnachatikaenidphraxuruewlksspa ekidintrakulphrahmnksspokhtr minxngchay 2 khn chux ksspa ehmuxnkn emuxecriywykhunma idsuksacbitrephth khux phraewth 3 xyang sungepnkhmphir skdisiththisungsudkhxngphrahmn idaek vkhewth xruphephth pramwlbthswdsrresriyethpheca ychurewth ychuphephth bthswdxxnwxninphithibuchayytang samewth pramwlbthephlngkhbsahrbswngngdhruxrxngepnthanxnginphithibuchayy ksspaphichaykhnotnnmibriwar 500 khn ksspakhnklangmibriwar 300 khn aelaksspakhnelksudthay mibriwar 200 khn txmathngsamphinxngmikhwamehntrngknwa lththithiphwktnnbthuxxyunnimmiaeknsar cungphaknxxkbwchepnvisichdil eklaphmesing baephyphrtbuchaiftngxasrmxyuthirimfngaemna enrychra tamladbkn phichaykhnot tngxasrmxyuthikhungnatxnehnux n tablxuruewla cungidchuxwa xuruewlksspa nxngchaykhnklang tngxasrmxyuthikhungnathdip n tablnthi cungidchuxwa nthiksspa swnnxngchaykhnelk tngxasrmxyuthikhungna n tablkhya cungidchuxwa khyaksspa inxditchati phraxuruewlksspaethra bngekidkhunineruxnkhxngphumitrakulinemuxnghngsawdi phxetibotkhunaelw idipfngphrathrrmethsnakhxngphrapthumuttrsmmasmphuththeca idehnphraxngkhthrngtngphraethraruphnungiw intaaehnngxnelisthisudkwaphrasawkthnghlayfay mibriwarmak cungkhidwaeracaidepnechnphraethrannbanginxnakht kulbutr xuruewlksspa emuxkhiddngniaelw cungcdkarthwaymhathanaedphraphiksusngkh sungmiphrapthumuttrsmmasmphuththecathrngepnprathan karthwaymhathankrathaxyuthnghmd 7 wn aelainwnsudthayidthwayphaitrciwraelwtngkhwamparthnawa khxihkhaphraxngkhidrbtaaehnngxnelisthisuddanmibriwarmak insasnakhxngphraphuththecaphraxngkhidphraxngkhhnung dwyphlkhxngbuykuslni inxnakhtkalonnethid phraecakha phrapthummutrsmmasmphuththeca thrngphicarnaepnthungkhwamepnipinxnakhtkalkhxngkulbutrnn immiehtukhdkhxngaetprakarid cungthrngphyakrnwa ethxcaidepnphuelisfaymibriwarmaksmtamkhwamprarthna insasnakhxngphrasmnokhdmphuththeca odycaesdckhuninhnungaesnkpkhanghnaonn kulbutrnn fngkhaphuththphyakrnaelw ekidkhwamyindiepnxyangyingrawkbwa khwamprarthnacasaercinwnphrungnihruxmarunni aelwsrangklyankrrmtxmacntlxdchiwit emuxnbthxyhlngcakkpniipxik 92 kp chatihnungthanklbmaekidepnphraxnuchatangphramardakbphraphumiphakheca phuthrngphranamwa phrapusssmmasmphuththeca miphrarachbidanamwa phramhinthracha aelamiphraxnuchaxik 2 phraxngkh rwmepn 3 phraxngkh aelaaetlaxngkhmiysthabrrdaskditang kn khrnghnungthiplayekhtaednkhxngphramhinthrachaekidmikhasukstrumarukran phrarachacungeriykphraoxrsthng 3 phraxngkhipprabkhasuk aelathrngsamarthprabkhasukstrucnrabkhab rahwangthangklbcungpruksaharuxknwaerathanganidsaerc emuxphrarachbidaphrarachthanphraektnaelw caeluxkrbphrxairdi aelwmidaritrngknwa imwacaepnphrarachsmbtiid ktam thixngkhsmedcphrarachbidacaphraprathan immixaircasakhyethakb karidptibtibarungphraphumiphraphakhecaphuepnphraechdthathirachnnely enuxngcakphrarachbidannkhidwaphraphuththecaepnkhxngphraxngkhkhnediyw cungthrngthwaythanaelaimihphuxunrwmthabuydwy khrnemuxphrarachoxrsthngsamphraxngkhmathungphrankhr kkrabthulchychnaihthrngthrab aelakhxphrarachthanphrdngthipruksaknxnnn emuxidrbphraelw kthakarsmathansil 10 prakar aetngtngburus 3 khnihepnphuduaelorngthan khxytkaetngithythrrmthwayaedphraphumiphraphakheca odyihburusphuhnungcdhathyyahar burusphuhnungepnphnkngantrwcnb aelaburusxikphuhnungepnphnkngantkaetngithythrrm phnknganthngsamthannnin khrnmathunginchatipccubn phuepnphnkngancdhathyyahar klbmaekidepnphraecaphimphisar phuepnphnkngancdhathyyaharklbmaekidepn aelaphuepnphnkngantkaetngithythrrmklbmaekidepn phrarachoxrsthngsamphraxngkhesdcphaknipthrngsmathansil 10 prakar xyucntlxditrmas 3 eduxn ephuxyudhlkaehngkarbuchasungsud dwykarptibtitamkhasngsxn aemwacamikarptibtidwykarbricakhctupccybarungaelwktam phxxxkphrrsaaelwphrarachoxrsthng 3 phraxngkhthrngcdkarthwayithythrrmdwyphraxngkhexng thngyngthrngkrathabuyxyucntlxdphrachnmchiph khrnmathungchatisudthayni phrarachoxrsthng 3 phraxngkh klbmaekidintrakulphrahmn ksspokhtr kxnphraphuththeca aelamichuxehmuxnknhmdthngsamkhnkhux ksspa aetmikhanahnachuxthitangknxxkiptamthixyu echnxngkhthixyuthi tablxuruewla michuxwa xuruewlksspa xngkhthixyuthirimfngaemnamhakhngkhanthi cungthukeriykwa nthiksspa aelakhnsudthxngmichuxwa khyaksspa ephraaxasyxyuthitablkhyasisa karidrbkarykyxngwaepnextthkhkhaindanphumibriwarmak phraxuruewlksspaidrbykyxnginthangphumibriwarmak thiepnphraxrhnt 1 002 xngkh enuxngcakthanepnphuprakxbdwyphrhmwiharthrrm xnepnthrrmsahrbphuihyichpkkhrxngduaelbriwarihmikhwamsukh sungprakxbdwy emtta khwamrkikhr prarthnaihphuxunepnsukh kruna khwamsngsar prarthnacachwyihphuxunphnthukkh muthita khwamphlxyyindiemuxphuxuniddi xuebkkha khwamwangechy imdiicimesiyicemuxphuxunthungkhwamwibti dwykhunthrrmehlani aelaxikthngruckbarungciticbriwardwykarsngekhraah dwywtthusingkhxngaelahlkthrrma cungthaihthansamarthyudehniywciticbriwariwid epnthirkekharphkhxngbriwar aelakepnphuththsawkrupediywthimibriwarmakthisud phraphuththxngkhcungthrngykyxngthanintaaehnngextthkhkha epnphueliskwaphrasawkthngpwng infayphumibriwarmakkhwamsakhyinphraphuththsasnaemuxphraphuththxngkh trsruxnutrsmmasmophthiyanaelw aelacaphrrsaaerkthipaxisiptnmvkhthaywn inphrrsannmiphrasngkhsawkphusaercphraxrhnt canwn 60 rup emuxxxkphrrsapwarnaaelw phrabrmsasdaidsngphrasawkthng 60 rupnn xxkipephyaephphraphuththsasnayngthintang swnphraxngkhexngesdcipyngtablxuruewlaesnanikhm inrahwangthang esdcekhaipprathbphkphxnphayitrmimrimthanginirfay khnannmiphrarachkumar 30 phraxngkh phuidnamwa phththwkhkhiy idphaphrryaipethiywhakhwamsukhsarayinrachxuthyan rachkumarxngkhhnungimmiphrrya cungphahyingosephniipepnkhuethiyw emuxphwkrachkumarkalngephlidephlinsnuksnanknxyunn hyingosephniidkhomykhxngmikhahniip phwkrachkumarxxktidtamma idphbphraphumiphraphakhthiirfay cungekhaipefaaelwkrabthulthamwa khaaetphraphumiphraphakh phraxngkhehnhyingkhnhnungphanmathangnibanghruxim phraecakha phwkthanehnwa karaeswnghahyingkbkaraeswnghasingpraesrithintnsingihncadikwakn aeswnghasingpraesrithintndikwa phraecakha thaechnnn thanthnghlaycngnnglng tthakhtcaaesdngthrrmihfng phraphuththxngkhthrngaesdngphrathrrmethsnaihfng cnthnghmdidbrrluepnphraxriybukhkhl tngaetchnphraosdabn thungchnphraskthakhami aelaphraxnakhamithukphraxngkh caknn phraphuththxngkhprathankarxupsmbthihaelw sngipprakasphraphuththsasna phrabrmsasda esdctxipyngtablxuruewlaesnanikhm esdcekhaipyngsankkhxngxuruewlksspa trskhxphkxasyskhnungratri aetxuruewlksspa ehnwaepnnkbwchtanglththi cungbayebiyngwaimmisthanthiihphk phrabrmsasdacungtrswa thrrmdawaokhyxmekhaipsufungokh nkbwchkyxmekhaipsusankkhxngnkbwch thathanimmikhwamhnkic tthakhtcakhxphkxasyxyuinorngif sungepnthibuchayykhxngthannn dukxnmhasmna eramiidhnkic thathancaphkinthinn aetwamiphyanakhdurayaelamiphismak xyuinorngifnn ekrngwathancaidrbxntraythungchiwitkid emuxxuruewlksspaimkhdkhxng phraphuththxngkhcungesdcekhaipinorngif thrngphicarnatrwcdu sthanthixnsmkhwraelw prathbnngsmathiecriykrrmthan fayphyanakh ehnphuaeplkhnaphidklinekhamainorngifkhxngtnkokrth cungphnphisxxkmaepnkhwnifxbxwlthwthngorngif hwngcathaxntrayihsinchiwit aetphraphuththxngkhthrngaesdngphuththanuphaphihprakt dwykarbndalihkhwnifklbipsmphsenux hnng exn aelakradukkhxngphyanakh thaihvththiedchkhxngphyanakhehuxdhayip bngekidkhwamecbpwdkhunmaaethn lalththiedim xuruewlksspa aelaphrasmmasmphuththeca cakphaphyntraexniemchn phuththsasda inratrinn phraphuththxngkhthrngthrmanphyanakh dwywithitang thrngekhaetochksinsmabtibndaliheplwifrungorcnochtnakarthworngif ehlachdilthnghlaytangmxngdudwykhwamdiicwa phrasmna khngcawxdway inkxngephlingdwyphiskhxngphyanakh xyangaennxn inthisud phraphuththxngkh kthrngprabphyanakh cnsinvththiodysinechingaelwcbexalngipkhdiwinbatrrungecha xuruewlksspa phasisychdilmatrwcdu emuxepnehtukarnechnnncungkhidwa phrasmnani mixanuphaphmak samarthprabphyanakhihphayaephid aetthungkrann kyngmiidepnphraxrhntehmuxnera khiddngniaelw cngyngmiyxmrbnbthux aetkrusukeluxmisinxiththipatihariy aelanimntihphkxyutxipid odyphwktncaepnphunaxaharmathwaythukwn wntxma phraphuththxngkhesdcekhaipprathbthichaypaikl xasrmkhxngxuruewlksspann inyamratrikhxngaetlakhun idmithwyethphethwatngaetchn catumharachthng 4 thaw oksiyethwrach aela tangkmaekhaefaephuxfngphrathrrmethsna ideplngrsmiaesngswangthwthngiphrsnth yngkhwamchngnsnethhihekidaekxuruewlksspa aelabriwarepnxyangying khrnrungecha idkrabthulthamehtuthimakhxngaesngswangnn khrnidthrabkhwamtlxdaelwrusuksrththaeluxmisaeladarixyuinicwa xanuphaphkhxngphrasmnokhdmniyingihyhaphuepriybmiid aemaetethphyadathukchnfa yngmaekhaefaephuxkhxfngthrrm aetthungcayingihyephiyngidktam kyngmiidepnphraxrhntehmuxnechnera phrabrmsasda thrngphkxyuinsankkhxngxuruewlksspa epnewla 2 eduxn thrngaesdngxiththivththipatihariy thrmanxuruewlksspchdil hlayprakar aetxuruewlksspa phumisndankradang mithitthiaerngklayngthuxtnexngwaepnphraxrhntxyuechnedim phraphuththxngkhthrngdariwa tthakht cayngomkhburuschtilni ihekidkhwamsldsngewch dngniaelwcungtrswa dukxnksspa twthanmiidepnphraxrhnt thangptibtikhxngthanynghangikltxkarsaercepnphraxrhnt miichthangmrrkhphlxnidely ichnthancungthuxtnwaepnphraxrhnt thanlwngtnexngaelwynglwngkhnxun thathanrusuksanuktw aelaptibtitamkhasxnkhxngera thancaidepnphraxrhntthiaethcringinimcha xuruewlksspa idfngphradarsnnaelwkrusuksldic kmsirsalngaethbphrabathkrabthulkhxxupsmbth phrabrmsasda cungtrsaekethxwa ksspa thanepnxacaryecasankthiyingihy mibriwarmakkwa 500 khn thancngbxkihbriwarkhxngthanthrabthwknkxn tthakhtcungcaxupsmbthihthan xuruewlksspa cungprakaschkchwnchdilbriwarkhxngtnthnghmd phaknlxybrikhardabs miekhruxngaetngphmepnchda aelaekhruxngbuchaephling epntn lnginaemnaaelwthulkhxxupsmbth phrabrmsasda prathankarxupsmbthdwywithi exhiphikkhuxupsmptha phrxmknthnghmdfay nthissspa aela khyaksspa nxngchaythngsxngkhn sungtngxasrmxyuthikhungnatxnitlngiptamladb ehnbrikharkhxngphichaylxymatamna thaihkhidwa xntraykhngcaekidmiaekphichaykhxngtn cungphrxmdwybriwarribmathisankkhxngphichay ehnphichayxyuinephsphraphiksu cungsxbthamidkhwamwa phrhmcrrynipraesrithyingnk cungphaknlxybrikharlnginaemnaaelwkhxxupsmbthdwyknthnghmd fngxathittpriyaysutr khyasisa hruxekhaphrhmoynitamtanankhxnghindu sthanthiphraphuththxngkhthrngaesdngxathittpriyaysutraekhmuphiksuchtil 1 003 rupcnsaercphraxrhntthnghmd phraphuththxngkh prathbxyuthitablxuruewlaesnanikhm phxsmkhwraekphraxthyasyaelw cungesdcphrxmdwyhmuphiksuchdilehlann canwn 1 003 rup ipyng tablkhyasisa aelaprathbxyu n thinn thrngphicarnaehnxinthriykhxngphiksuihm aekklaaelw cungtrseriykthanehlannmaprachumphrxmknaelwtrsphrathrrmethsna xathittpriyaysutr thrngepriybethiybsingthngpwngepnkhxngrxnducediywkbif ephuxihehmaasmkbxthyasykhxngphwkethx thiekhybuchaifmakxn thrngaesdngthungxaytnaphayin khux ta hu cmuk lin kayaelaic epnkhxngrxn aelakhwamrusukwaepnsukhepnthukkh imsukh imthukkh ephraataehnrup hruxhuidyin epntn kepnkhxngrxnickhwamodysrupkkhux emuxtaehnrup huidyinesiyng cmukidklin linlimrs kayidsmphs aelaickrathbxarmn aelwthaihekidkhwamerarxn rxnephraarakha othsa aelaomha epntn phuidsdbaelaruethathnkielsehlaniaelw yxmebuxhnayinsingthngpwng emuxebuxhnayyxmkhlaykahnd emuxkhlaykahndaelw citkimyudmnimthuxmnsingehlann khnathiphrabrmsasda thrngaesdngphrathrrmethsnaxyunn phiksuchdil thng 1 003 rup sngkraaescitiptamwaraaehngphrathrrmethsna citkhxngphwkethx khludphncakkielsaswathngpwng saercepnphraxrhntkhinasphdwyknthnghmd chwyprakassasna phraxuruewlksspa emuxidsaercepnphraxrhntaelw idchwykickarphraphuththsasna aelachwyaebngebapharakhxngphrabrmsasda idepnxyangmak odyechphaaemuxsaercepnphraxrhntihm idtidtamesdcphrabrmsasdaipsuemuxngrachkhvh phraphuththxngkhprathb n ltthiwnswntalhnum phraecaphimphisarthrngthrab cungphrxmdwyphrahmn aelakhvhbdichawemuxngmkhth canwn 12 nhut esdcekhamaefa krabthwaybngkhmphrabrmsasdaaelwprathbnng n thixnsmkhwraekphraxngkh swnbriwarthitidtammaehlann tangkaesdngkiriyaxakartang kn khux bangphwkkthwaybngkhm bangphwkkkrabthulsnthna bangphwkkprakaschuxaelatrakulkhxngtn bangphwkknngechy epntn thiepnechnni kephraakhnehlannyngimaenicwarahwangphrabrmsasdakbxuruewlksspa nnikhrepnsisyikhrepnxacaryknaen ephraawa xuruewlksspa kepnecasankihy mikhnekharphnbthuxmakmay aelaidrbykyxngwaepnphraxrhntxngkhhnungphraphuththxngkhthrngthrabwaracitkhwamkhidkhxngkhnehlannepnxyangdi ephuxpldepluxngkhwamsngsykhxngkhnehlann cungtrsthamphraxuruewlksspa wa ksspa ethxxyuinxuruewlaesnanikhmmanan epnxacarysngsxnchdilihbaephyphrt cnsubphxm ethxehnothsxairhrux cungeliklakarbuchannesiy phraxuruewlksspa emuxidfngphuththdarsaelw kthrabthungphuththprasngkhdi cungnxmnmskarkrabthulwa khaaetphraphumiphraphakh karbuchayythnghlay lwnaetmikhwammunghmayephuxihidmasungkamkhun mirup esiyng klin rs aela smphs xnnaprarthna narkikhr naphxic sungsingehlannepnkhxngrxn bdni khaphraxngkh idruchdaelwwa khwamrkikhr phxicinkamkhunehlann epnmlthin thaicihesrahmxng kxihekidkiels aelakhwamthukkh cunglathingkarbuchaifnnesiy bdni khaphraxngkh idehnthrrmxnsngbrangbaelw phraecakha khrnaelw phraethraidsbsirsalngaethbphrabathkhxngphraphuththxngkh aelwprakaswa khaaetphraxngkhphuecriy phraxngkhepnsasdakhxngkhaphraphuththeca epnsawkkhxngphraxngkh cakkiriyaxakaraelathxykhakhxngphraethrann thaihbriwarkhxngphraecaphimphisarthnghmdehlannhaysngsy nxmcitlngthifngphrathrrmethsna dngnn phrabrmsasda cungthrngaesdng aela xriysc 4 ihfngemuxcbphrathrrmethsna phraecaphimphisarphrxmdwybriwar 11 nhuta idbrrluosdapttiphl swnxik 1 nhuta darngxyuinitrsrnkhmn prakastnepnphuththmamkaxangxingchiwprawtiphuththsawk prawtiphraxcchriyamhaethraemuxkhrngphuththkal elm 1 caeniyr thrngvks 2542 phimphodysankptibtithrrmswnaekw sakhawdpakna phimphody sankphimphthrrmspha ewbist 84000 ewbicht thrrma ektewy 2009 04 15 thi ewyaebkaemchchin