ประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย ประวัติศาสตร์ของดินแดนและประชากรที่อาศัยอยู่ในเครือรัฐออสเตรเลีย รวมถึงที่อยู่มาก่อน และชาวอาณานิคมที่อพยพเข้ามาในภายหลัง ผู้คนที่เข้ามาอาศัยเป็นกลุ่มแรก เชื่อกันว่าเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อพยพขึ้นมาอาศัยอยู่ในแผ่นดินทวีปออสเตรเลีย ข้ามทะเลมาจากหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อประมาณ 40,000 ถึง 70,000 ปีที่แล้ว ธรรมเนียมและประเพณีเชิงศิลป์, ดนตรี และศาสนาที่พวกเขาสถาปนาขึ้นเป็นหนึ่งในประเพณีที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ที่ยังสืบทอดมาจนนับบัดนี้
ชาวยุโรปที่เทียบฝั่งออสเตรเลียและขึ้นบกเป็นคนแรกคือ นักสำรวจชาวดัตช์ ขึ้นฝั่งในปี ค.ศ. 1606 นักสำรวจชาวดัตช์อีก 29 คนได้สำรวจชายฝั่งทางตะวันตกและทางใต้ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และตั้งชื่อทวีปใหม่นี้ว่า "นิวฮอลแลนด์" นักจับปลิงทะเลชาวมากัสซาร์ขึ้นฝั่งออสเตรเลียทางตอนเหนือหลังจาก ค.ศ. 1720 หรืออาจจะก่อนหน้านั้น หลังจากนั้นนักสำรวจชาวยุโรปอื่น ๆ ก็ตามมา จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1770 เมื่อเรือโท เจมส์ คุก ร่างแผนที่ชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียให้กับสหราชอาณาจักร และกลับไปพร้อมกับคำบอกเล่าที่ตั้งรกรากที่อ่าว (ปัจจุบันคือนครซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์)
จากอังกฤษมาถึงอ่าวบอทานีในเดือนมกราคม ค.ศ. 1788 เพื่อตั้งทัณฑนิคม ในคริสต์ศตวรรษที่ตามมา อังกฤษได้ตั้งอาณานิคมอื่น ๆ บนทวีป และนักสำรวจชาวยุโรปคนอื่น ๆ ได้สำรวจลึกเข้าไปในส่วนในของทวีป ชาวออสเตรเลียพื้นเมืองอ่อนแอลงอย่างมาก ส่วนประชากรก็ลดลงเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บและความขัดแย้งที่มาพร้อมกับชาวยุโรป
การตื่นทองและอุตสาหกรรมการเกษตรได้นำความรุ่งเรืองมายังทวีป ชาวอาณานิคมอังกฤษในทั้งหกอาณานิคมเริ่มปกครองตนเองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาตั้งแต่ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในที่สุดชาวอาณานิคมก็ได้จัดทำประชามติเพื่อรวมตัวกันสถาปนาสหพันธรัฐใน ค.ศ. 1901 นับตั้งนั้นเป็นต้นมา ประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียสมัยใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น ประเทศออสเตรเลียต่อสู้ในสงครามโลกทั้งสองครั้งเคียงข้างกับอังกฤษ และกลายมาเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่จักรวรรดิญี่ปุ่นเริ่มแผ่อำนาจคุกคามในสงครามโลกครั้งที่สอง การค้าขายกับทวีปเอเชียเพิ่มขึ้น และโครงการรับคนเข้าเมืองหลังสงครามได้นำผู้อพยพกว่า 6.5 ล้านคนจากทุกทวีปเข้ามาในประเทศ นับจากหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาก็มีผู้อพยพหลั่งไหล่มาเรื่อย ๆ จากกว่า 200 ประเทศ จนจำนวนประชากรพุ่งขึ้นถึงกว่า 23 ล้านคนใน ค.ศ. 2014 และกลายมาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 12 ของโลก
อ้างอิง
- , Balderstone and Bowan (2006) p. 25
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
prawtisastrxxsetreliy prawtisastrkhxngdinaednaelaprachakrthixasyxyuinekhruxrthxxsetreliy rwmthungthixyumakxn aelachawxananikhmthixphyphekhamainphayhlng phukhnthiekhamaxasyepnklumaerk echuxknwaepnchnphunemuxngdngedimthixphyphkhunmaxasyxyuinaephndinthwipxxsetreliy khamthaelmacakhmuekaainphumiphakhexechiytawnxxkechiyngitemuxpraman 40 000 thung 70 000 pithiaelw thrrmeniymaelapraephniechingsilp dntri aelasasnathiphwkekhasthapnakhunepnhnunginpraephnithiekaaekthisudinprawtisastrmnusychati thiyngsubthxdmacnnbbdni chawyuorpthiethiybfngxxsetreliyaelakhunbkepnkhnaerkkhux nksarwcchawdtch khunfnginpi kh s 1606 nksarwcchawdtchxik 29 khnidsarwcchayfngthangtawntkaelathangitinkhriststwrrsthi 17 aelatngchuxthwipihmniwa niwhxlaelnd nkcbplingthaelchawmakssarkhunfngxxsetreliythangtxnehnuxhlngcak kh s 1720 hruxxaccakxnhnann hlngcaknnnksarwcchawyuorpxun ktamma cnkrathnginpi kh s 1770 emuxeruxoth ecms khuk rangaephnthichayfngtawnxxkkhxngxxsetreliyihkbshrachxanackr aelaklbipphrxmkbkhabxkelathitngrkrakthixaw pccubnkhuxnkhrsidniy rthniwesathewls cakxngkvsmathungxawbxthaniineduxnmkrakhm kh s 1788 ephuxtngthnthnikhm inkhriststwrrsthitamma xngkvsidtngxananikhmxun bnthwip aelanksarwcchawyuorpkhnxun idsarwclukekhaipinswninkhxngthwip chawxxsetreliyphunemuxngxxnaexlngxyangmak swnprachakrkldlngenuxngcakorkhphyikhecbaelakhwamkhdaeyngthimaphrxmkbchawyuorp kartunthxngaelaxutsahkrrmkarekstridnakhwamrungeruxngmayngthwip chawxananikhmxngkvsinthnghkxananikhmerimpkkhrxngtnexngdwyrabxbprachathipityaebbrthsphatngaetchwngklangkhriststwrrsthi 19 inthisudchawxananikhmkidcdthaprachamtiephuxrwmtwknsthapnashphnthrthin kh s 1901 nbtngnnepntnma prawtisastrkhxngxxsetreliysmyihmkerimtnkhun praethsxxsetreliytxsuinsngkhramolkthngsxngkhrngekhiyngkhangkbxngkvs aelaklaymaepnphnthmitrsakhykhxngshrthxemrikanbtngaetckrwrrdiyipunerimaephxanackhukkhaminsngkhramolkkhrngthisxng karkhakhaykbthwipexechiyephimkhun aelaokhrngkarrbkhnekhaemuxnghlngsngkhramidnaphuxphyphkwa 6 5 lankhncakthukthwipekhamainpraeths nbcakhlngsngkhramolkkhrngthisxngepntnmakmiphuxphyphhlngihlmaeruxy cakkwa 200 praeths cncanwnprachakrphungkhunthungkwa 23 lankhnin kh s 2014 aelaklaymaepnpraethsthimiesrsthkicthiihythisudxndbthi 12 khxngolkxangxing Balderstone and Bowan 2006 p 25 bthkhwamprawtisastrniyngepnokhrng khunsamarthchwywikiphiediyidodykarephimetimkhxmuldkhk