ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
27°05′28″N 77°39′40″E / 27.091°N 77.661°E
ฟเตหปุระสีกรี * | |
---|---|
แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก | |
Diwan-i-Khas – ท้องพระโรง (ส่วนพระองค์) | |
พิกัด | 27°5′27.6″N 77°39′39.6″E / 27.091000°N 77.661000°E |
(ประเทศ) | เมืองอัคระ รัฐอุตตรประเทศ อินเดีย |
ภูมิภาค ** | เอเชียและแปซิฟิก |
ประเภท | มรดกทางวัฒนธรรม |
(เกณฑ์พิจารณา) | ii, iii, iv |
อ้างอิง | 255 |
ประวัติการขึ้นทะเบียน | |
ขึ้นทะเบียน | 2529 (คณะกรรมการสมัยที่ 10) |
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก ** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก |
ฟเตหปุระสีกรี (อังกฤษ: Fatehpur Sikri; ฮินดี: फ़तेहपुर सीकरी; อูรดู: فتحپور سیکری) เป็นเมืองตั้งอยู่ในเขต รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1569 โดยสมเด็จพระจักรพรรดิอักบัร และยังใช้เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโมกุลระหว่างปี ค.ศ. 1571–1585 ภายหลังจากชัยชนะจากสงครามกับชาวเมืองจิตเตารครห์ (Chitaurgarh) และรณถัมโภระ (Ranthambore) พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยย้ายเมืองหลวงจากอัคระมายังที่แห่งใหม่บริเวณนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากที่ตั้งของสะพานสิครีเป็นระยะทาง 23 ไมล์ (37 กิโลเมตร) เพื่อเป็นเกียรติแก่นักบุญลัทธิศูฟี พระนามว่า "ซาลิม คิชติ" (Salim Chishti) โดยได้ใช้เวลาออกแบบผังเมืองและสร้างถึง 15 ปี ซึ่งรวมถึงกำแพงเมืองรอบด้าน พระราชวัง ตำหนัก ฮาเร็ม ศาล มัสยิด และอาคารสาธารณูปโภคต่าง ๆ ทรงตั้งชื่อเมืองว่า "ฟะเตฮาบาด" (Fatehabad) มาจากคำภาษาอาหรับว่า "ฟัตห์" แปลว่า "ชัยชนะ" และต่อมากลายเป็น "ฟเตหปุระสีกรี" (Fatehpur Sikri) ฟเตหปุระสีกรี นั้นถือเป็นหนึ่งในสิ่งปลูกสร้างในสถาปัตยกรรมโมกุลที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดในประเทศอินเดีย
จากการสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์ จักรพรรดิอักบัรได้มีส่วนร่วมในการออกแบบและก่อสร้างสถานที่แห่งนี้อย่างมาก โดยตั้งใจที่จะชุบชีวิตอันหรูหราของราชสำนักเปอร์เซียโบราณ โดยการวางแผนนั้นรับรูปแบบตามราชสำนักเปอร์เซีย แต่มีการปรับโดยใส่รายละเอียดแบบอินเดีย การก่อสร้างนั้นใช้หินทรายสีแดงที่มีแหล่งอยู่ใกล้เคียงกับฟเตหปุระสีกรี ดังนั้นสิ่งก่อสร้างหลัก ๆ นั้นจะมีสีแดง บริเวณหมู่ราชมนเทียรประกอบด้วยตำหนักหลายหลังเรียงต่อกันอย่างเรียบร้อยและสมมาตรบนฐานเดียวกัน เป็นลักษณะพิเศษที่นำมาจากการก่อสร้างแบบอาหรับ และเอเชียกลาง โดยองค์รวมแล้ว ถือได้ว่าพระองค์นั้นทรงพระปรีชาสามารถยิ่งในการผสมผสานสถาปัตยกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นสถาปัตยกรรมในแบบของพระองค์เอง
นครฟเตหปุระสีกรีนั้นถูกทิ้งร้างในปี ค.ศ. 1585 ภายหลังจากการเสร็จสิ้นเพียงไม่กี่ปีเนื่องจากการขาดแคลนแหล่งน้ำ และที่ตั้งของเมืองซึ่งอยู่ใกล้กับอาณาเขตของอาณาจักรราชปุตนะทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งได้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบบ่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นจักรพรรดิอักบัรจึงมีพระราชดำริให้ย้ายเมืองหลวงไปยังลาฮอร์แทน ก่อนจะย้ายกลับไปยังอัคระในปี ค.ศ. 1598 ที่ซึ่งพระองค์เริ่มปกครองสมัยแรก ๆ ที่พระองค์มีความสนใจต่อดินแดนแถบเดกกันขึ้น พระองค์มิได้ย้ายกลับมาประทับที่นครแห่งนี้อีกเลย ยกเว้นเพียงช่วงสั้น ๆ ในปี ค.ศ. 1601 เท่านั้น
ในประวัติศาสตร์โมกุลสมัยต่อมาได้มีการชุบชีวิตให้กับฟเตหปุระสีกรีอีกครั้งหนึ่งเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ในรัชสมัยของ (ครองราชย์ ค.ศ. 1719 - ค.ศ.1748) และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซัยยิด ฮุสเซน อาลี คาน บาร์ฮา ซึ่งเป็นหนึ่งในสองพี่น้องซัยยิดแห่งจักรวรรดิโมกุล ซึ่งถูกลอบสังหารในสถานที่แห่งนี้ในปี ค.ศ. 1720 ในปัจจุบันพระราชวังและบริเวณสถานที่แห่งนี้ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีเยี่ยมทำให้มีลักษณะคล้ายเมืองผีสิง (เมืองร้าง) ซึ่งยังคงมีกำแพงเมืองเป็นปราการโดยรอบทั้งสามทิศอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่แรกก่อสร้าง โดยรอบนอกของบริเวณเป็นเมืองใหม่ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของฟเตหปุระสีกรี ซึ่งได้ยกระดับเป็นเทศบาลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1865-1904 และต่อมากลายเป็นเมืองในที่สุด ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของแถบนี้เคยเป็นที่รู้จักด้านงานหิน และแกะสลักหิน และในช่วงของจักรพรรดิอักบัรนั้นยังมีชื่อเสียงด้านการทอผ้าไหมอีกด้วย
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
ฟเตหปุระสีกรีนั้นตั้งอยู่บนบริเวณสันเขา ที่มีขนาดความยาว 3 กิโลเมตร (1.9 ไมล์) และกว้าง 1 km (0.62 mi) อาคารภายในนั้นถูกล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองยาว 6 km (3.7 mi) ครอบคลุมทั้งสามด้าน อีกด้านหนึ่งเป็นทะเลสาบธรรมชาติ (ในสมัยนั้น) สถาปนิกหลักได้แก่ ตูฮีร์ ดาส (Tuhir Das) โดยออกแบบอย่างอินเดียซึ่งผสมผสานงานศิลปะแบบเบงกอลและคุชราต และยังพบองค์ประกอบสำคัญของสถาปัตยกรรมฮินดูและเชนผนวกเข้ากับองค์ประกอบแบบศิลปะอิสลามอย่างกลมกลืน วัตถุดิบหลักที่ใช้สร้างได้แก่หินทรายสีแดง ที่ขุดได้ในบริเวณใกล้เคียง จึงเรียกกันว่า "หินทรายสีกรี" ตัวกำแพงเมืองนั้นประกอบด้วยประตูหลักทั้งหมด 9 แห่ง ได้แก่ ประตูเดลี ประตูลาล ประตูอัคระ ประตูบีร์บาล ประตูชันดันปาล ประตูกวาลิออร์ ประตูเทห์รา ประตูคอร์ และประตูอัชเมียร์
บุลันด์ ดรวาซา
บุลันด์ ดรวาซา ประตูชัยตั้งอยู่บริเวณกำแพงฝั่งทิศใต้ของมัสยิดจามาภายในบริเวณของฟเตหปุระสีกรี โดยมีขนาดใหญ่โตถึง 54 เมตรจากบริเวณด้านนอกและค่อย ๆ ลดหลั่นลงมาจนเหลือขนาดเพียงเท่ามนุษย์ปกติบริเวณด้านใน บริเวณประตูแห่งนี้ถูกต่อเติมขึ้นภายหลังถัดจากมัสยิดประมาณ 5 ปี ประมาณช่วงปี ค.ศ. 1576-1577 เพื่อใช้เป็น "ประตูชัย" สำหรับชัยชนะของสมเด็จพระจักรพรรดิอักบัรต่ออาณาจักรคุชราต บริเวณส่วนคานโค้งด้านในจะพบจารึกว่า "อีซา (พระเยซู) บุตรแห่งมารีกล่าวไว้ว่า: โลกนี้เหมือนดั่งสะพานซึ่งไว้ใช้ผ่านทางเท่านั้น แต่ไม่สามารถสร้างบ้านบนนี้ได้ เขาซึ่งหวังเพียงแค่ชั่วโมงหนึ่งอาจจะหมายถึงความหวังชั่วนิจนิรันดร ถ้าโลกนี้สามารถทนได้แค่เพียงหนึ่งชั่วโมง ให้ใช้เวลานี่เพื่อสวดมนต์วิงวอนสำหรับอนาคตที่ยังมองไม่เห็น"
บริเวณซุ้มประตูทางเข้าประกอบด้วยช่องโค้งจำนวนสามแห่ง โดยช่องกลางนั้นมีขนาดใหญ่ที่สุด นิยมเรียกกันว่า "ประตูเกือกม้า" เนื่องจากเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มักจะตอกเกือกม้าติดลงบนบานประตูขนาดใหญ่เพื่อเป็นการนำโชค
มัสยิดจามา
มัสยิดจามา คือมัสยิดซึ่งสันนิษฐานจากหลักฐานว่าเป็นสิ่งก่อสร้างแรก ๆ ที่สร้างขึ้นในฟเตหปุระสีกรี เนื่องจากหลักจารึกได้ระบุว่าสร้างเสร็จราวปี ค.ศ. 1571-1572 ส่วนบริเวณประตูที่นำไปสู่สวนด้านหน้านั้น ได้แก่บูลันด์ ดาร์วาซาสร้างเสร็จราว ๆ 5 ปีต่อมา การก่อสร้างนั้นอิงตามหลักของมัสยิดแบบอินเดีย ซึ่งมีโถงอิวันตั้งอยู่ตรงกลางลาน พร้อมทั้งฉัตรี (บุษบกแบบอินเดีย) ที่เรียงรายกันเป็นแถวเหนือบริเวณกำแพงอาคาร ในมัสยิดประกอบด้วยมิหร็อบ (สถาปัตยกรรมที่เป็นเครื่องหมายระบุทิศทางสู่ศูนย์รวมศรัทธาของมุสลิม)จำนวนสามแห่งโดยห่างกันจำนวน 7 ช่วงโค้ง มิหร็อบหลักตรงกลางนั้นมีโดมครอบอยู่ โดยตกแต่งด้วยงานอินเลย์หินอ่อนขาวประดับอย่างวิจิตรในรูปทรงเรขาคณิต
สุสานนักบุญซาลิม คิชติ
สุสานนักบุญซาลิม คิชติ เป็นอาคารสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวครอบบริเวณสุสานของนักบุญซาลิม คิชติ (ค.ศ. 1478-1572) ตั้งอยู่ภายในลานกลางของมัสยิดชามา ตัวสุสานมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสชั้นเดียว บริเวณทางเข้ามีบันไดหินอ่อนเตี้ย ๆ นำเข้าไปยังภายในของอาคาร บริเวณตรงกลางอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของหลุมฝังศพนักบุญ ตกแต่งครอบด้วยด้วยบุษบกทำเป็นงานไม้แกะสลักประดับโมเสกมุก โดยรอบของอาคารนั้นไม่ได้เป็นผนังทึบ แต่ใช้ "จาลี" หรือฉากหินแกะสลักอย่างวิจิตรพิศดารด้วยทรวดทรงเรขาคณิตอย่างกลมกลืนโดยรอบอาคารแทน
สุสานแห่งนี้ออกแบบโดยอิทธิพลจากมอโซเลียมในยุคต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 (สมัยสุลต่านแห่งคุชราต) นอกจากนี้ยังมีคันทวยทำด้วยหินอ่อนสลักเป็นทรวดทรงอ่อนช้อยคล้ายงู ซึ่งรองรับส่วนของชายคาโดยรอบ
บริเวณซ้ายมือของสุสาน ทางทิศตะวันออกเป็นที่ตั้งของสุสานอีกแห่งหนึ่งสร้างจากหินทรายสีแดง โดยเป็นสุสานหลักของอิสลาม คาน ที่ 1 บุตรของชีคบัดรุดดิน คิชติ และหลานของชีคซาลิม คิชติ ซึ่งเคยเป็นนายพลประจำกองทัพโมกุลในรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิชะฮันกีร์ ด้านบนของสุสานนั้นประดับยอดด้วยโดม และฉัตรีจำนวน 36 หลัง นอกจากนี้ยังเป็นที่ฝังศพของอีกหลายบุคคล บางสุสานนั้นไม่สามารถระบุได้ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผู้สืบตระกูลของชีคซาลิม คิชติ
ดิวัน-อิ-อัม
ดิวัน-อิ-อัม ท้องพระโรงกลางซึ่งพบได้ในเมืองสำคัญของอาณาจักรโดยทั่ว เพื่อใช้สำหรับประมุขของแคว้นประทับว่าราชการ ซึ่งสำหรับที่นี่ มีลักษณะเป็นหมู่อาคารโดยมีอาคารหลักทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งเปิดสู่สนามหญ้ากว้างใหญ่บริเวณด้านหน้า ใกล้กันทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นที่ตั้งของที่ประทับของสุลต่านเตอร์กิก ซึ่งด้านในมีอ่างน้ำแบบเตอร์กิกอยู่
ดิวัน-อิ-กัส
ดิวัน-อิ-กัส ส่วนพระองค์ มีลักษณะเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมประกอบด้วยยอดแบบฉัตรีทั้งสี่มุมด้านบนของอาคาร ท้องพระโรงแห่งนี้มีชื่อที่บริเวณเสากลางซึ่งมีฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตัวเสานั้นเป็นทรงแปดเหลี่ยม ซึ่งตกแต่งด้วยงานแกะอย่างวิจิตรเป็นลายเรขาคณิตและบุปผชาติ หัวเสาเป็นกลีบคานจำนวน 36 กลีบซึ่งรองรับบริเวณที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิอักบัร และยังเชื่อมกับคานทั้งสี่มุมของอาคารบริเวณชั้นบน ซึ่งบนคานนั้นเป็นทางเดินไปยังที่ประทับ บริเวณที่แห่งนี้ใช้เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิอักบัรเสด็จออกพบแขกต่างศาสนาที่มักจะแลกเปลี่ยนความเชื่อซึ่งกันและกัน และยังเป็นสถานที่ออกพบแขกสำคัญเป็นการส่วนพระองค์อีกด้วย
ปัญจมหัล
ปัญจมหัล เป็นตำหนักสูงห้าชั้นซึ่งสร้างลดหลั่นหลังคาขึ้นไปทีละชั้น โดยมีลักษณะเล็กลงเรื่อยจนกระทั่งชั้นบนสุด ซึ่งเป็นเพียงบุษบกแบบฉัตรี เมื่อตอนแรกสร้างภายในตกแต่งและกั้นห้องด้วยฉากหินฉลุ นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าตำหนักแห่งนี้เป็นที่ประทับของพระสนมและนางใน บริเวณพื้นของแต่ละชั้นรองรับด้วยเสาหินแกะสลักโดยรอบรวมทั้งสิ้นจำนวน 176 ต้น
ลักษณะประชากร
ฟเตหปุระสีกรี มีประชากรทั้งสิ้น 28,754 คน ประกอบด้วยประชากรชายร้อยละ 53 และหญิงร้อยละ 47 มีอัตราการรู้หนังสือร้อยละ 46 (แบ่งเป็นชายร้อยละ 57 และหญิงร้อยละ 34) ซึ่งต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยรวมของชาติที่ร้อยละ 59.50
ร้อยละ 19 ของประชากรทั้งหมดมีอายุต่ำกว่า 19 ปี
การคมนาคม
ฟเตหปุระสีกรี ตั้งอยู่ 39 กิโลเมตรจากเมืองอัคระ สนามบินที่ใกล้ที่สุดคือสนามบินกองทัพอากาศอัคระ (รหัส AGA) ตั้งอยู่ห่างไป 40 กิโลเมตร สถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดคือสถานีรถไฟฟเตหปุระสีกรี ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองประมาณ 1 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังสามารถใช้ถนนหลวงเพื่อเดินทางไปยังเมืองอัคระ และเมืองอื่น ๆ ได้ ผ่านทางรถประจำทางขนส่งอุตตรประเทศ (Uttar Pradesh State Road Transport Corporation) และยังมีแท็กซี่เอกชนต่าง ๆ ให้บริการด้วย
ระเบียงภาพ
- ซุ้มประตูทางเข้า (Buland Darwaza)
- หลุมฝังศพ (Nawab Islam Khan's Tomb)
- ประตูราชา (King's Gate)
- ประตูราชา (King's Gate)
- ทางเข้าพระตำหนักพระมเหสี
- ท้องพระโรง (Diwan-i-Khas)
- Mariam-uz-Zamani House
- สระน้ำ (Anup talao) แท่นกลางน้ำ
ใช้สำหรับประกวดร้องเพลง - ฝ่ายรักษาความปลอดภัย
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- "Fatehpur Sikri". Imperial Gazetteer of India. Digital South Asia Library. Vol. 12. Oxford. pp. 84–85. สืบค้นเมื่อ 2012-11-04.
- Asher 1992, p. 51.
- "Alphabetical list of Towns and their population, Uttar Pradesh–202: Fatehpur Sikri" (pdf). Census of India. Government of India. สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- "Fatehpur Sikri". UNESCO. สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- . British Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-20. สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- Allen, Margaret Prosser (1991). Ornament in Indian architecture. University of Delaware Press. pp. 414–417. ISBN . สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- Richards, John F. (1996). The Mughal Empire. Cambridge University Press. p. 52. ISBN . สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- Asher 1992, p. 52.
- . British Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-20. สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- Aitken, Bill (2001). Speaking stones: world cultural heritage sites in India. Eicher Goodearth Limited. p. 68. ISBN . สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- . British Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-20. สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- . Government of India. 2010-01-22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-08.
- . British Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-20. สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- . British Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-20. สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- . British Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-20. สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- . British Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-20. สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- . British Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-20. สืบค้นเมื่อ 2013-06-09.
- . Uttar Pradesh Tourism. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-12-25.
อ่านเพิ่ม
- Latif, Muḥammad (1896). Agra, Historical & Descriptive. Calcutta Central Press.
- (1897–1939). . แปลโดย . Calcutta: . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2010. สืบค้นเมื่อ 6 November 2010.
- (1899). "Fatehpur Sikri". A Handbook for Visitors to Agra and Its Neighbourhood (Sixth ed.). Thacker, Spink & Co. p. 53.
- Malleson, G. B., Colonel (1899). Akbar and the rise of the Mughal Empire. . Oxford at the Clarendon Press.
- (1904). A handbook to Agra and the Taj, Sikandra, Fatehpur-Sikri and the neighbourhood (1904). London: Longmans, Greens & Co.
- Garbe, Dr.Richard von (1909). Akbar – Emperor of India. A picture of life and customs from the sixteenth century. Chicago: The Opencourt Publishing Company.
- (1917). Akbar the Great Mogul, 1542-1605. Oxford at The Clarendon Press.
- Hussain, Muhammad Ashraf (1947). A Guide To Fatehpur Sikri. The Manager, Government of India Press.
- Rezavi, S. Ali Nadeem (1998). Exploring Mughal Gardens at Fathpur Sikri. Indian History Congress.
- Petruccioli, Attilio (1992). Fatehpur Sikri. Ernst & Sohn.
- Rizvi, Athar Abbas (2002). Fatehpur Sikri (World heritage series). Archaeological Survey of India. ISBN .
- Rezavi, Syed Ali Nadeem (2002). "Iranian Influence on Medieval Indian Architecture", The Growth of Civilizations in India and Iran. Tulika.
- Jain, Kulbhushan (2003). Fatehpur Sikri: where spaces touch perfection. VDG. ISBN .
- Rezavi, Dr. Syed Ali Nadeem (2008). Religious Disputation and Imperial Ideology: The Purpose and Location of Akbar's Ibadatkhana. SAGE Publications.
- (1904). A handbook to Agra and the Taj, Sikandra, Fatehpur-Sikri and the neighbourhood (1904). Longmans, Greens & Co., London.
- (1917). Akbar the Great Mogul, 1542-1605. Oxford at The Clarendon Press.
- Asher, Catherine Ella Blanshard (1992). "Age of Akbar". Architecture of Mughal India, (Part 1). Cambridge University Press. ISBN .
- Arch Net Digital Library
แหล่งข้อมูลอื่น
- ที่ Archaeological Survey of India
- แผนที่เชิงโต้ตอบของฟเตหปุระสีกรี
- ประวัติของฟเตหปุระสีกรี 2020-01-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
lingkkhamphasa inbthkhwamni miiwihphuxanaelaphurwmaekikhbthkhwamsuksaephimetimodysadwk enuxngcakwikiphiediyphasaithyyngimmibthkhwamdngklaw krann khwrribsrangepnbthkhwamodyerwthisud 27 05 28 N 77 39 40 E 27 091 N 77 661 E 27 091 77 661 fethpurasikri aehlngmrdkolkodyyuensokDiwan i Khas thxngphraorng swnphraxngkh phikd27 5 27 6 N 77 39 39 6 E 27 091000 N 77 661000 E 27 091000 77 661000praethsemuxngxkhra rthxuttrpraeths xinediyphumiphakh exechiyaelaaepsifikpraephthmrdkthangwthnthrrmeknthphicarnaii iii ivxangxing255prawtikarkhunthaebiynkhunthaebiyn2529 khnakrrmkarsmythi 10 chuxtamthiidkhunthaebiyninbychiaehlngmrdkolk phumiphakhthicdaebngodyyuensok fethpurasikri xngkvs Fatehpur Sikri hindi फ त हप र स कर xurdu فتحپور سیکری epnemuxngtngxyuinekht rthxuttrpraeths praethsxinediy kxtnginpi kh s 1569 odysmedcphrackrphrrdixkbr aelayngichepnemuxnghlwngkhxngckrwrrdiomkulrahwangpi kh s 1571 1585 phayhlngcakchychnacaksngkhramkbchawemuxngcitetarkhrh Chitaurgarh aelarnthmophra Ranthambore phraxngkhcungthrngtdsinphrathyyayemuxnghlwngcakxkhramayngthiaehngihmbriewnni sungxyuhangcakthitngkhxngsaphansikhriepnrayathang 23 iml 37 kiolemtr ephuxepnekiyrtiaeknkbuylththisufi phranamwa salim khichti Salim Chishti odyidichewlaxxkaebbphngemuxngaelasrangthung 15 pi sungrwmthungkaaephngemuxngrxbdan phrarachwng tahnk haerm sal msyid aelaxakharsatharnupophkhtang thrngtngchuxemuxngwa faethabad Fatehabad macakkhaphasaxahrbwa fth aeplwa chychna aelatxmaklayepn fethpurasikri Fatehpur Sikri fethpurasikri nnthuxepnhnunginsingpluksranginsthaptykrrmomkulthixyuinsphaphsmburnthisudinpraethsxinediy cakkarsnnisthankhxngnkprawtisastr ckrphrrdixkbridmiswnrwminkarxxkaebbaelakxsrangsthanthiaehngnixyangmak odytngicthicachubchiwitxnhruhrakhxngrachsankepxresiyobran odykarwangaephnnnrbrupaebbtamrachsankepxresiy aetmikarprbodyisraylaexiydaebbxinediy karkxsrangnnichhinthraysiaedngthimiaehlngxyuiklekhiyngkbfethpurasikri dngnnsingkxsranghlk nncamisiaedng briewnhmurachmnethiyrprakxbdwytahnkhlayhlngeriyngtxknxyangeriybrxyaelasmmatrbnthanediywkn epnlksnaphiessthinamacakkarkxsrangaebbxahrb aelaexechiyklang odyxngkhrwmaelw thuxidwaphraxngkhnnthrngphraprichasamarthyinginkarphsmphsansthaptykrrmtang ephuxepnsthaptykrrminaebbkhxngphraxngkhexng nkhrfethpurasikrinnthukthingranginpi kh s 1585 phayhlngcakkaresrcsinephiyngimkipienuxngcakkarkhadaekhlnaehlngna aelathitngkhxngemuxngsungxyuiklkbxanaekhtkhxngxanackrrachputnathangthistawntkechiyngehnux sungidekidehtukarnimsngbbxymakkhuneruxy dngnnckrphrrdixkbrcungmiphrarachdariihyayemuxnghlwngipynglahxraethn kxncayayklbipyngxkhrainpi kh s 1598 thisungphraxngkherimpkkhrxngsmyaerk thiphraxngkhmikhwamsnictxdinaednaethbedkknkhun phraxngkhmiidyayklbmaprathbthinkhraehngnixikely ykewnephiyngchwngsn inpi kh s 1601 ethann inprawtisastromkulsmytxmaidmikarchubchiwitihkbfethpurasikrixikkhrnghnungepnchwngrayaewlasn inrchsmykhxng khrxngrachy kh s 1719 kh s 1748 aelaphusaercrachkaraethnphraxngkh syyid husesn xali khan barha sungepnhnunginsxngphinxngsyyidaehngckrwrrdiomkul sungthuklxbsngharinsthanthiaehngniinpi kh s 1720 inpccubnphrarachwngaelabriewnsthanthiaehngniyngxyuinsphaphsmburndieyiymthaihmilksnakhlayemuxngphising emuxngrang sungyngkhngmikaaephngemuxngepnprakarodyrxbthngsamthisxyangsmburntngaetaerkkxsrang odyrxbnxkkhxngbriewnepnemuxngihmsungxyuthangthistawntkkhxngfethpurasikri sungidykradbepnethsbaltngaetpi kh s 1865 1904 aelatxmaklayepnemuxnginthisud inprawtisastrxnyawnankhxngaethbniekhyepnthiruckdannganhin aelaaekaslkhin aelainchwngkhxngckrphrrdixkbrnnyngmichuxesiyngdankarthxphaihmxikdwylksnathangsthaptykrrmaephnphngphayinaesdngthitngkhxngklumxakhar fethpurasikrinntngxyubnbriewnsnekha thimikhnadkhwamyaw 3 kiolemtr 1 9 iml aelakwang 1 km 0 62 mi xakharphayinnnthuklxmrxbdwykaaephngemuxngyaw 6 km 3 7 mi khrxbkhlumthngsamdan xikdanhnungepnthaelsabthrrmchati insmynn sthapnikhlkidaek tuhir das Tuhir Das odyxxkaebbxyangxinediysungphsmphsanngansilpaaebbebngkxlaelakhuchrat aelayngphbxngkhprakxbsakhykhxngsthaptykrrmhinduaelaechnphnwkekhakbxngkhprakxbaebbsilpaxislamxyangklmklun wtthudibhlkthiichsrangidaekhinthraysiaedng thikhudidinbriewniklekhiyng cungeriykknwa hinthraysikri twkaaephngemuxngnnprakxbdwypratuhlkthnghmd 9 aehng idaek pratuedli pratulal pratuxkhra pratubirbal pratuchndnpal pratukwalixxr pratuethhra pratukhxr aelapratuxchemiyr wiwaebbphaonramakhxngphrarachwngpratuchybulnd darwasa Buland Darwaza thimikhwamsung 54 emtrmsyidcama Jama Masjid susankhxngnkbuysalim khichti Salim Chishti saymux tngxyuinmsyidcama Jama Masjid phayinswnkhxng fethpurasikriesaklangkhxngthxngphraorngelk Diwan i khas pycmhl Panch Mahal tahnksunghachnbulnd drwasa bulnd drwasa pratuchytngxyubriewnkaaephngfngthisitkhxngmsyidcamaphayinbriewnkhxngfethpurasikri odymikhnadihyotthung 54 emtrcakbriewndannxkaelakhxy ldhlnlngmacnehluxkhnadephiyngethamnusypktibriewndanin briewnpratuaehngnithuktxetimkhunphayhlngthdcakmsyidpraman 5 pi pramanchwngpi kh s 1576 1577 ephuxichepn pratuchy sahrbchychnakhxngsmedcphrackrphrrdixkbrtxxanackrkhuchrat briewnswnkhanokhngdanincaphbcarukwa xisa phraeysu butraehngmariklawiwwa olkniehmuxndngsaphansungiwichphanthangethann aetimsamarthsrangbanbnniid ekhasunghwngephiyngaekhchwomnghnungxaccahmaythungkhwamhwngchwnicnirndr thaolknisamarththnidaekhephiynghnungchwomng ihichewlaniephuxswdmntwingwxnsahrbxnakhtthiyngmxngimehn briewnsumpratuthangekhaprakxbdwychxngokhngcanwnsamaehng odychxngklangnnmikhnadihythisud niymeriykknwa pratuekuxkma enuxngcakepnthrrmeniymptibtithimkcatxkekuxkmatidlngbnbanpratukhnadihyephuxepnkarnaochkh msyidcama msyidcama khuxmsyidsungsnnisthancakhlkthanwaepnsingkxsrangaerk thisrangkhuninfethpurasikri enuxngcakhlkcarukidrabuwasrangesrcrawpi kh s 1571 1572 swnbriewnpratuthinaipsuswndanhnann idaekbulnd darwasasrangesrcraw 5 pitxma karkxsrangnnxingtamhlkkhxngmsyidaebbxinediy sungmiothngxiwntngxyutrngklanglan phrxmthngchtri busbkaebbxinediy thieriyngrayknepnaethwehnuxbriewnkaaephngxakhar inmsyidprakxbdwymihrxb sthaptykrrmthiepnekhruxnghmayrabuthisthangsusunyrwmsrththakhxngmuslim canwnsamaehngodyhangkncanwn 7 chwngokhng mihrxbhlktrngklangnnmiodmkhrxbxyu odytkaetngdwynganxinelyhinxxnkhawpradbxyangwicitrinrupthrngerkhakhnit susannkbuysalim khichti susannkbuysalim khichti epnxakharsrangdwyhinxxnsikhawkhrxbbriewnsusankhxngnkbuysalim khichti kh s 1478 1572 tngxyuphayinlanklangkhxngmsyidchama twsusanmilksnaepnsiehliymcturschnediyw briewnthangekhamibnidhinxxnetiy naekhaipyngphayinkhxngxakhar briewntrngklangxakharsungepnthitngkhxnghlumfngsphnkbuy tkaetngkhrxbdwydwybusbkthaepnnganimaekaslkpradbomeskmuk odyrxbkhxngxakharnnimidepnphnngthub aetich cali hruxchakhinaekaslkxyangwicitrphisdardwythrwdthrngerkhakhnitxyangklmklunodyrxbxakharaethn susanaehngnixxkaebbodyxiththiphlcakmxoseliyminyukhtnkhriststwrrsthi 15 smysultanaehngkhuchrat nxkcakniyngmikhnthwythadwyhinxxnslkepnthrwdthrngxxnchxykhlayngu sungrxngrbswnkhxngchaykhaodyrxb briewnsaymuxkhxngsusan thangthistawnxxkepnthitngkhxngsusanxikaehnghnungsrangcakhinthraysiaedng odyepnsusanhlkkhxngxislam khan thi 1 butrkhxngchikhbdruddin khichti aelahlankhxngchikhsalim khichti sungekhyepnnayphlpracakxngthphomkulinrchsmykhxngsmedcphrackrphrrdichahnkir danbnkhxngsusannnpradbyxddwyodm aelachtricanwn 36 hlng nxkcakniyngepnthifngsphkhxngxikhlaybukhkhl bangsusannnimsamarthrabuid sungthnghmdlwnepnphusubtrakulkhxngchikhsalim khichti diwn xi xm diwn xi xm thxngphraorngklangsungphbidinemuxngsakhykhxngxanackrodythw ephuxichsahrbpramukhkhxngaekhwnprathbwarachkar sungsahrbthini milksnaepnhmuxakharodymixakharhlkthrngsiehliymphunphasungepidsusnamhyakwangihybriewndanhna iklknthangthistawntkechiyngitepnthitngkhxngthiprathbkhxngsultanetxrkik sungdaninmixangnaaebbetxrkikxyu diwn xi ks diwn xi ks swnphraxngkh milksnaepnxakharthrngsiehliymprakxbdwyyxdaebbchtrithngsimumdanbnkhxngxakhar thxngphraorngaehngnimichuxthibriewnesaklangsungmithansiehliymcturs twesannepnthrngaepdehliym sungtkaetngdwynganaekaxyangwicitrepnlayerkhakhnitaelabupphchati hwesaepnklibkhancanwn 36 klibsungrxngrbbriewnthiprathbkhxngsmedcphrackrphrrdixkbr aelayngechuxmkbkhanthngsimumkhxngxakharbriewnchnbn sungbnkhannnepnthangedinipyngthiprathb briewnthiaehngniichemuxsmedcphrackrphrrdixkbresdcxxkphbaekhktangsasnathimkcaaelkepliynkhwamechuxsungknaelakn aelayngepnsthanthixxkphbaekhksakhyepnkarswnphraxngkhxikdwy pycmhl pycmhl epntahnksunghachnsungsrangldhlnhlngkhakhunipthilachn odymilksnaelklngeruxycnkrathngchnbnsud sungepnephiyngbusbkaebbchtri emuxtxnaerksrangphayintkaetngaelaknhxngdwychakhinchlu nkprawtisastrsnnisthanwatahnkaehngniepnthiprathbkhxngphrasnmaelanangin briewnphunkhxngaetlachnrxngrbdwyesahinaekaslkodyrxbrwmthngsincanwn 176 tnlksnaprachakrfethpurasikri miprachakrthngsin 28 754 khn prakxbdwyprachakrchayrxyla 53 aelahyingrxyla 47 mixtrakarruhnngsuxrxyla 46 aebngepnchayrxyla 57 aelahyingrxyla 34 sungtakwaxtraechliyrwmkhxngchatithirxyla 59 50 rxyla 19 khxngprachakrthnghmdmixayutakwa 19 pikarkhmnakhmfethpurasikri tngxyu 39 kiolemtrcakemuxngxkhra snambinthiiklthisudkhuxsnambinkxngthphxakasxkhra rhs AGA tngxyuhangip 40 kiolemtr sthanirthifthiiklthisudkhuxsthanirthiffethpurasikri tngxyuhangcakicklangemuxngpraman 1 kiolemtr nxkcakniyngsamarthichthnnhlwngephuxedinthangipyngemuxngxkhra aelaemuxngxun id phanthangrthpracathangkhnsngxuttrpraeths Uttar Pradesh State Road Transport Corporation aelayngmiaethksiexkchntang ihbrikardwyraebiyngphaphsumpratuthangekha Buland Darwaza hlumfngsph Nawab Islam Khan s Tomb praturacha King s Gate praturacha King s Gate thangekhaphratahnkphramehsi thxngphraorng Diwan i Khas Mariam uz Zamani House srana Anup talao aethnklangna ichsahrbprakwdrxngephlng fayrksakhwamplxdphyduephimxkhra pxmxkhra ckrphrrdixkbrxangxing Fatehpur Sikri Imperial Gazetteer of India Digital South Asia Library Vol 12 Oxford pp 84 85 subkhnemux 2012 11 04 Asher 1992 p 51 Alphabetical list of Towns and their population Uttar Pradesh 202 Fatehpur Sikri pdf Census of India Government of India subkhnemux 2012 11 08 Fatehpur Sikri UNESCO subkhnemux 2012 11 08 British Library khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2012 10 20 subkhnemux 2012 11 08 Allen Margaret Prosser 1991 Ornament in Indian architecture University of Delaware Press pp 414 417 ISBN 0 87413 399 8 subkhnemux 2012 11 08 Richards John F 1996 The Mughal Empire Cambridge University Press p 52 ISBN 0 521 56603 7 subkhnemux 2012 11 08 Asher 1992 p 52 British Library khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2012 10 20 subkhnemux 2012 11 08 Aitken Bill 2001 Speaking stones world cultural heritage sites in India Eicher Goodearth Limited p 68 ISBN 81 87780 00 2 subkhnemux 2012 11 08 British Library khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2012 10 20 subkhnemux 2012 11 08 Government of India 2010 01 22 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2011 09 08 British Library khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2012 10 20 subkhnemux 2012 11 08 British Library khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2012 10 20 subkhnemux 2012 11 08 British Library khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2012 10 20 subkhnemux 2012 11 08 British Library khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2012 10 20 subkhnemux 2012 11 08 British Library khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2012 10 20 subkhnemux 2013 06 09 Uttar Pradesh Tourism khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2010 12 25 xanephimLatif Muḥammad 1896 Agra Historical amp Descriptive Calcutta Central Press 1897 1939 aeplody Calcutta khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 4 June 2010 subkhnemux 6 November 2010 1899 Fatehpur Sikri A Handbook for Visitors to Agra and Its Neighbourhood Sixth ed Thacker Spink amp Co p 53 Malleson G B Colonel 1899 Akbar and the rise of the Mughal Empire Oxford at the Clarendon Press 1904 A handbook to Agra and the Taj Sikandra Fatehpur Sikri and the neighbourhood 1904 London Longmans Greens amp Co Garbe Dr Richard von 1909 Akbar Emperor of India A picture of life and customs from the sixteenth century Chicago The Opencourt Publishing Company 1917 Akbar the Great Mogul 1542 1605 Oxford at The Clarendon Press Hussain Muhammad Ashraf 1947 A Guide To Fatehpur Sikri The Manager Government of India Press Rezavi S Ali Nadeem 1998 Exploring Mughal Gardens at Fathpur Sikri Indian History Congress Petruccioli Attilio 1992 Fatehpur Sikri Ernst amp Sohn Rizvi Athar Abbas 2002 Fatehpur Sikri World heritage series Archaeological Survey of India ISBN 81 87780 09 6 Rezavi Syed Ali Nadeem 2002 Iranian Influence on Medieval Indian Architecture The Growth of Civilizations in India and Iran Tulika Jain Kulbhushan 2003 Fatehpur Sikri where spaces touch perfection VDG ISBN 3 89739 363 8 Rezavi Dr Syed Ali Nadeem 2008 Religious Disputation and Imperial Ideology The Purpose and Location of Akbar s Ibadatkhana SAGE Publications 1904 A handbook to Agra and the Taj Sikandra Fatehpur Sikri and the neighbourhood 1904 Longmans Greens amp Co London 1917 Akbar the Great Mogul 1542 1605 Oxford at The Clarendon Press Asher Catherine Ella Blanshard 1992 Age of Akbar Architecture of Mughal India Part 1 Cambridge University Press ISBN 0 521 26728 5 Arch Net Digital Libraryaehlngkhxmulxunwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb fethpurasikri wikithxngethiyw mikhaaenanakarthxngethiywsahrb fethpurasikri thi Archaeological Survey of India aephnthiechingottxbkhxngfethpurasikri prawtikhxngfethpurasikri 2020 01 27 thi ewyaebkaemchchin