แรดดำ ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: สมัยไพลโอซีน - ปัจจุบัน 3.6–0Ma | |
---|---|
() ใน แอฟริกาใต้ | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Mammalia |
อันดับ: | Perissodactyla |
วงศ์: | Rhinocerotidae |
สกุล: | Gray, 1821 |
สปีชีส์: | D. bicornis |
ชื่อทวินาม | |
Diceros bicornis Linnaeus, 1758 | |
ชนิดย่อย | |
การกระจายพันธุ์ของแรดดำ |
แรดดำ เป็นแรดที่มีขนาดใหญ่รองลงมาจากแรดขาว (Ceratotherium simum) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Diceros bicornis มีรูปร่างทั่วไปคล้ายแรดขาว เพียงแต่สีผิวที่คล้ำกว่า จึงเป็นมาของชื่อ "แรดดำ" ปากของแรดดำจะเป็นติ่งแหลมยื่นออกมาบริเวณริมฝีปากบน เนื่องจากชอบตวัดกินใบไม้มากกว่า และคอของแรดดำจะสั้นกว่าแรดขาว ผิวหนังมีรอยย่นและตุ่มนูนและหนากว่า หูกลมกว่าแรดขาว
ขนาดของแรดดำจะมีขนาดเล็กกว่าแรดขาวพอสมควร คือ ความยาวเต็มที่ประมาณ 140-170 เซนติเมตร ความสูงของไหล่ 3.3-3.6 เมตร น้ำหนักเต็มที่โดยประมาณ 800-1,300 กิโลกรัม
มีการกระจายพันธุ์ในแอฟริกาตะวันออกและแอฟริกาใต้ ในประเทศเคนยา, แทนซาเนีย, แอฟริกาใต้, แคเมอรูน, นามิเบียและซิมบับเว มีทั้งหมด 4 ชนิดย่อย คือ D. b. michaeli, D. b. longipes, D. b. bicornis, D. b. minor ซึ่งบางครั้งเขตหากินของแรดดำอาจจะเข้าไปอยู่ในถิ่นของแรดขาว แต่สัตว์ทั้งสองชนิดนี้ไม่เคยที่จะต่อสู้แก่งแย่งกัน
แรดดำเป็นสัตว์ที่มีนิสัยดุร้าย ฉุนเฉียวง่ายกว่าแรดขาว สามารถวิ่งได้เร็ว 29 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่บางครั้งเมื่อตกใจหรือป้องกันตัวอาจวิ่งได้เร็วถึง 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
สถานภาพในธรรมชาติของแรดดำปัจจุบันอยู่ในสภาวะ CR (Critically Endangered) คือ มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญพันธุ์จากพื้นที่ธรรมชาติในขณะนี้
อนุกรมวิธานและชื่อ
แรดดำมี 4 ชนิดย่อย:
- (Diceros bicornis minor) มีจำนวนมากที่สุด กระจายพันธุ์ตั้งแต่ใจกลางประเทศแทนซาเนียลงใต้ไปถึงประเทศแซมเบีย, ประเทศซิมบับเว, และ ประเทศโมซัมบิกถึงตอนเหนือและตะวันออกของประเทศแอฟริกาใต้
- (Diceros bicornis bicornis) ปรับตัวสู้ความแห้งแล้งและกึ่งแห้งแล้งของทุ่งหญ้าสะวันนาได้ดี อยู่ในประเทศนามิเบีย, ตอนใต้ของประเทศแองโกลา, ทางตะวันตกของประเทศบอตสวานา, ตะวันตกของประเทศแอฟริกาใต้
- (Diceros bicornis michaeli) กระจายพันธุ์ตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศซูดาน, ประเทศเอธิโอเปีย, ถึงประเทศเคนยา ถึงตอนเหนือและใจกลางประเทศแทนซาเนีย ปัจจุบันเหลือแค่เพียงในประเทศแทนซาเนีย
- แรดดำตะวันตก (Diceros bicornis longipes) ในอดีตกระจายพันธุ์ตั้งแต่ตอนเหนือและตะวันตกของประเทศแคเมอรูน ใน พ.ศ. 2549 การสำรวจอย่างเข้มข้นในประเทศแคเมอรูนไม่พบแรดชนิดนี้แม้แต่ตัวเดียว นำไปสู่ความกลัวว่ามันได้สูญพันธุ์หมดไปจากธรรมชาติแล้ว วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 IUCN ประกาศให้แรดดำตะวันตกสูญพันธุ์ไปแล้ว
ลักษณะ
แรดดำเมื่อโตเต็มที่สูง 140-170 ซม.จรดไหล่ ยาว 3.3-3.6 ม. หนัก 800-1400 กก. เพศเมียตัวเล็กกว่าเพศผู้ มี 2 นอ นอหน้าใหญ่กว่านอหลังโดยทั่วไปยาว 50-140 ซม. นอยาวสุดที่วัดได้ยาวเกือบ 1.5 ม. ในบางตัวอาจมีนอที่ 3 ซึ่งมีขนาดเล็ก นอใช้ในการป้องกันตัว ข่มขู่ ขุดรากไม้ หักกิ่งไม้เพื่อกิน สีผิวขึ้นกับสีดินในถิ่นอาศัยและพฤติกรรมการแช่ปลักของแรด โดยทั่วไปมักมีสีดำ แรดดำมีขนาดเล็กกว่าแรดขาว ริมฝีปากบนแหลมยาวไว้ใช้เพื่อหยิบจับใบไม้และกิ่งตอนกินอาหาร ซึ่งแรดขาวจะมีปากเหลี่ยมเพื่อใช้สำหรับกินหญ้า เราสามารถแยกแรดดำจากแรดขาวได้เพราะแรดดำมีหูและกะโหลกที่เล็กกว่า
แรดดำมีหนังหนาเพื่อป้องกันหนามและหญ้า ผิวหนังของมันจะเต็มไปด้วยปรสิตภายนอกอย่างและซึ่งจะถูกกินโดยนกกระยางและนกอ็อกซ์เพกเกอร์ที่อาศัยอยู่กับแรด แต่เดิมพฤติกรรมนี้ถูกคิดว่าเป็นตัวอย่างของภาวะพึ่งพาแต่หลักฐานเมื่อเร็วๆนี้พิสูจน์ว่านกอ็อกซ์เพกเกอร์อาจเป็นปรสิตเสียเอง. แรดดำมีสายตาไม่ดี จึงต้องอาศัยการได้ยินและการดมกลิ่น หูของมันช่วงหมุนที่ค่อนข้างกว้างเพื่อใช้ในการตรวจสอบเสียงและมีการดมกลิ่นดีเลิศพร้อมแจ้งให้ทราบเมื่อมีนักล่าเข้าใกล้
การกระจายพันธุ์
ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 แรดดำมีจำนวนมากที่ในแรดทุกชนิด ประมาณปี ค.ศ. 1900 อาจมีแรดดำถึง 100,000 ตัวอาศัยอยู่ในแอฟริกา ในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 จำนวนแรดดำลดลงอย่างรุนแรงจาก 70,000 ตัว ในตอนปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 เป็น 10,000 ถึง 15,000 ในปี ค.ศ. 1981 ในตอนต้นของคริสต์ทศวรรษ 1990 จำนวนแรดดำต่ำกว่า 2500 ตัวและในปี ค.ศ. 2004 มีรายงานว่าเหลือเพียง 2,410 ตัว ตามองค์การกองทุนแรดสากล ประชากรแรดแอฟริกาฟื้นฟูเล็กน้อยเป็น 3,610 ในช่วงปี ค.ศ. 2003 ตามรายงานจากสหภาพสากลเพื่อการอนุรักษ์ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 จากการสำรวจแรดดำแอฟริกาตะวันตกเมื่อเร็วๆนี้ที่กระจายพันธุ์ในทุ่งหญ้าสะวันนาในทางตะวันตกของแอฟริกาพบว่าลดลงเหลือเพียงแค่ 10 ตัว หรือสรุปได้ว่าชนิดย่อยนี้กำลังจะสูญพันธุ์ แรดขาวเหนือก็กำลังจะสูญพันธุ์เหมือนกับแรดดำแอฟริกาตะวันตก จำนวนล่าสุดที่พบเหลือเพียงแค่ 4 ตัว แรดชนิดเดียวที่สามารถฟื้นฟูได้คือแรดขาวใต้ซึ่งมีอยู่มากกว่า 14,500 ตัวในปัจจุบันจากมากกว่า 50 ตัวเล็กน้อยในทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20
แรดดำถูกคุกคามให้สูญพันธุ์จากการล่าเอานออย่างผิดกฎหมายและการสูญเสียที่อยู่ นอแรดถูกใช้ในการแพทย์แผนจีน นักสมุนไฟรกล่าวว่าสามารถฟื้นฟูผู้ป่วยหมดสติ รักษาไข้ และช่วยให้แข็งแรงและความสมบูรณ์ทางเพศในผู้ชาย ประสิทธิภาพของนอแรดในการรักษาโรคต่างๆไม่ได้รับการยืนยันทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 เอกสารขายยาเอกสารแรกของนอแรดดำในสหรัฐอเมริกา (ยืนยันโดยการทดสอบทางพันธุกรรมของนอที่ยึดมา) เกิดขึ้นที่ร้านจำหน่ายยาแผนจีนในไชน่าทาวน์ในพอร์ตแลนด์ มีการใช้นอแรดในตะวันออกกลางเพื่อใช้ด้ามมีดแกะสลักที่หรูหราสำหรับมีดที่ใช้ในพิธีกรรมที่เรียกว่า "jambiya" ความต้องการที่มากมายในคริสต์ทศวรรษ 1970 เป็นสาเหตุให้แรดดำลดลงถึง 96% ระหว่างปี ค.ศ. 1970 ถึง 1992
อ้างอิง
- IUCN SSC African Rhino Specialist Group (2008). Diceros bicornis 2011-11-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. In: IUCN 2008. IUCN Red List of Threatened Species. Downloaded on 28 November 2008.
- "Appendices | CITES". cites.org. สืบค้นเมื่อ 2022-01-14.
- Hillman-Smith, A.K. Kes; and Colin P. Groves. (1994). "Diceros bicornis" (PDFemma = ): 1. doi:10.2307/3504292.
{{}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
((help)); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|te=
ถูกละเว้น ((help))CS1 maint: multiple names: authors list () - "Diceros bicornis ssp. longipes". IUCN Red List of Threatened Species. Version 2011.2. 2011. สืบค้นเมื่อ November 10, 2011.
- Andrew Meldrum (July 12, 2006). "West African black rhino feared extinct". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 2007-10-09.
- Dollinger, Peter and Silvia Geser. . . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-07-16. สืบค้นเมื่อ 2007-10-09.
- (2004). No Turning Back: The Life and Death of Animal Species. New York: Harper Perennial. pp. 205–208. ISBN .
- Weeks, P (2000). "Red-billed oxpeckers: vampires or tickbirds?" (PDF). Behavioral Ecology. 11 (2): 154–160.
- (PDF). . 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-11-19. สืบค้นเมื่อ 2007-10-09.
{{}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|month=
ถูกละเว้น ((help)) - . . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-08-10. สืบค้นเมื่อ 2007-10-09.
- Andrew Meldrum (July 12, 2006). "West African black rhino feared extinct". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 2007-10-09.
- Sean Markey (July 12, 2006). "West African Black Rhino Extinct, Group Says". National Geographic. สืบค้นเมื่อ 2007-10-09.
- Michael Milstein (June 27, 2007). . . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-30. สืบค้นเมื่อ 2007-06-29.
แหล่งข้อมูลอื่น
- ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Diceros bicornis ที่วิกิสปีชีส์
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
aerdda chwngewlathimichiwitxyu smyiphloxsin pccubn 3 6 0Ma PreꞒ Ꞓ O S D C P T J K Pg N in aexfrikaitsthanakarxnurks IUCN 3 1 CITES Appendix I CITES karcaaenkchnthangwithyasastrxanackr Animaliaiflm Chordatachn Mammaliaxndb Perissodactylawngs Rhinocerotidaeskul Gray 1821spichis D bicornischuxthwinamDiceros bicornis Linnaeus 1758chnidyxy Diceros bicornis longipes karkracayphnthukhxngaerdda aerdda epnaerdthimikhnadihyrxnglngmacakaerdkhaw Ceratotherium simum michuxwithyasastrwa Diceros bicornis miruprangthwipkhlayaerdkhaw ephiyngaetsiphiwthikhlakwa cungepnmakhxngchux aerdda pakkhxngaerddacaepntingaehlmyunxxkmabriewnrimfipakbn enuxngcakchxbtwdkinibimmakkwa aelakhxkhxngaerddacasnkwaaerdkhaw phiwhnngmirxyynaelatumnunaelahnakwa huklmkwaaerdkhaw khnadkhxngaerddacamikhnadelkkwaaerdkhawphxsmkhwr khux khwamyawetmthipraman 140 170 esntiemtr khwamsungkhxngihl 3 3 3 6 emtr nahnketmthiodypraman 800 1 300 kiolkrm mikarkracayphnthuinaexfrikatawnxxkaelaaexfrikait inpraethsekhnya aethnsaeniy aexfrikait aekhemxrun namiebiyaelasimbbew mithnghmd 4 chnidyxy khux D b michaeli D b longipes D b bicornis D b minor sungbangkhrngekhthakinkhxngaerddaxaccaekhaipxyuinthinkhxngaerdkhaw aetstwthngsxngchnidniimekhythicatxsuaekngaeyngkn aerddaepnstwthiminisyduray chunechiywngaykwaaerdkhaw samarthwingiderw 29 kiolemtrtxchwomng aetbangkhrngemuxtkichruxpxngkntwxacwingiderwthung 40 kiolemtrtxchwomng sthanphaphinthrrmchatikhxngaerddapccubnxyuinsphawa CR Critically Endangered khux mikhwamesiyngsungthicasuyphnthucakphunthithrrmchatiinkhnanixnukrmwithanaelachuxaerddami 4 chnidyxy Diceros bicornis minor micanwnmakthisud kracayphnthutngaeticklangpraethsaethnsaeniylngitipthungpraethsaesmebiy praethssimbbew aela praethsomsmbikthungtxnehnuxaelatawnxxkkhxngpraethsaexfrikait Diceros bicornis bicornis prbtwsukhwamaehngaelngaelakungaehngaelngkhxngthunghyasawnnaiddi xyuinpraethsnamiebiy txnitkhxngpraethsaexngokla thangtawntkkhxngpraethsbxtswana tawntkkhxngpraethsaexfrikait Diceros bicornis michaeli kracayphnthutngaettxnitkhxngpraethssudan praethsexthioxepiy thungpraethsekhnya thungtxnehnuxaelaicklangpraethsaethnsaeniy pccubnehluxaekhephiynginpraethsaethnsaeniy aerddatawntk Diceros bicornis longipes inxditkracayphnthutngaettxnehnuxaelatawntkkhxngpraethsaekhemxrun in ph s 2549 karsarwcxyangekhmkhninpraethsaekhemxrunimphbaerdchnidniaemaettwediyw naipsukhwamklwwamnidsuyphnthuhmdipcakthrrmchatiaelw wnthi 10 phvscikayn ph s 2554 IUCN prakasihaerddatawntksuyphnthuipaelwlksnaaerddaemuxotetmthisung 140 170 sm crdihl yaw 3 3 3 6 m hnk 800 1400 kk ephsemiytwelkkwaephsphu mi 2 nx nxhnaihykwanxhlngodythwipyaw 50 140 sm nxyawsudthiwdidyawekuxb 1 5 m inbangtwxacminxthi 3 sungmikhnadelk nxichinkarpxngkntw khmkhu khudrakim hkkingimephuxkin siphiwkhunkbsidininthinxasyaelaphvtikrrmkaraechplkkhxngaerd odythwipmkmisida aerddamikhnadelkkwaaerdkhaw rimfipakbnaehlmyawiwichephuxhyibcbibimaelakingtxnkinxahar sungaerdkhawcamipakehliymephuxichsahrbkinhya erasamarthaeykaerddacakaerdkhawidephraaaerddamihuaelakaohlkthielkkwa aerddamihnnghnaephuxpxngknhnamaelahya phiwhnngkhxngmncaetmipdwyprsitphaynxkxyangaelasungcathukkinodynkkrayangaelankxxksephkekxrthixasyxyukbaerd aetedimphvtikrrmnithukkhidwaepntwxyangkhxngphawaphungphaaethlkthanemuxerwniphisucnwankxxksephkekxrxacepnprsitesiyexng aerddamisaytaimdi cungtxngxasykaridyinaelakardmklin hukhxngmnchwnghmunthikhxnkhangkwangephuxichinkartrwcsxbesiyngaelamikardmklindielisphrxmaecngihthrabemuxminklaekhaiklkarkracayphnthuaerddainpraethsaethnsaeniy kxnkhriststwrrsthi 20 aerddamicanwnmakthiinaerdthukchnid pramanpi kh s 1900 xacmiaerddathung 100 000 twxasyxyuinaexfrika inchwngkhrunghlngkhxngkhriststwrrsthi 20 canwnaerddaldlngxyangrunaerngcak 70 000 tw intxnplaykhristthswrrs 1960 epn 10 000 thung 15 000 inpi kh s 1981 intxntnkhxngkhristthswrrs 1990 canwnaerddatakwa 2500 twaelainpi kh s 2004 miraynganwaehluxephiyng 2 410 tw tamxngkhkarkxngthunaerdsakl prachakraerdaexfrikafunfuelknxyepn 3 610 inchwngpi kh s 2003 tamrayngancakshphaphsaklephuxkarxnurksineduxnkrkdakhm kh s 2006 cakkarsarwcaerddaaexfrikatawntkemuxerwnithikracayphnthuinthunghyasawnnainthangtawntkkhxngaexfrikaphbwaldlngehluxephiyngaekh 10 tw hruxsrupidwachnidyxynikalngcasuyphnthu aerdkhawehnuxkkalngcasuyphnthuehmuxnkbaerddaaexfrikatawntk canwnlasudthiphbehluxephiyngaekh 4 tw aerdchnidediywthisamarthfunfuidkhuxaerdkhawitsungmixyumakkwa 14 500 twinpccubncakmakkwa 50 twelknxyinthswrrsaerkkhxngkhriststwrrsthi 20 aerddathukkhukkhamihsuyphnthucakkarlaexanxxyangphidkdhmayaelakarsuyesiythixyu nxaerdthukichinkaraephthyaephncin nksmunifrklawwasamarthfunfuphupwyhmdsti rksaikh aelachwyihaekhngaerngaelakhwamsmburnthangephsinphuchay prasiththiphaphkhxngnxaerdinkarrksaorkhtangimidrbkaryunynthangwithyasastrkaraephthy ineduxnmithunayn kh s 2007 exksarkhayyaexksaraerkkhxngnxaerddainshrthxemrika yunynodykarthdsxbthangphnthukrrmkhxngnxthiyudma ekidkhunthirancahnayyaaephncininichnathawninphxrtaelnd mikarichnxaerdintawnxxkklangephuxichdammidaekaslkthihruhrasahrbmidthiichinphithikrrmthieriykwa jambiya khwamtxngkarthimakmayinkhristthswrrs 1970 epnsaehtuihaerddaldlngthung 96 rahwangpi kh s 1970 thung 1992xangxingwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb aerdda IUCN SSC African Rhino Specialist Group 2008 Diceros bicornis 2011 11 04 thi ewyaebkaemchchin In IUCN 2008 IUCN Red List of Threatened Species Downloaded on 28 November 2008 Appendices CITES cites org subkhnemux 2022 01 14 Hillman Smith A K Kes and Colin P Groves 1994 Diceros bicornis PDFemma 1 doi 10 2307 3504292 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a Cite journal txngkar journal help imruckpharamietxr te thuklaewn help CS1 maint multiple names authors list lingk Diceros bicornis ssp longipes IUCN Red List of Threatened Species Version 2011 2 2011 subkhnemux November 10 2011 Andrew Meldrum July 12 2006 West African black rhino feared extinct The Guardian London subkhnemux 2007 10 09 Dollinger Peter and Silvia Geser khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2009 07 16 subkhnemux 2007 10 09 2004 No Turning Back The Life and Death of Animal Species New York Harper Perennial pp 205 208 ISBN 0 06 055804 0 Weeks P 2000 Red billed oxpeckers vampires or tickbirds PDF Behavioral Ecology 11 2 154 160 PDF 2004 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2008 11 19 subkhnemux 2007 10 09 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite web title aemaebb Cite web cite web a imruckpharamietxr month thuklaewn help khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2007 08 10 subkhnemux 2007 10 09 Andrew Meldrum July 12 2006 West African black rhino feared extinct The Guardian subkhnemux 2007 10 09 Sean Markey July 12 2006 West African Black Rhino Extinct Group Says National Geographic subkhnemux 2007 10 09 Michael Milstein June 27 2007 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2007 09 30 subkhnemux 2007 06 29 http www botany uwc ac za EnvFacts Black Rhino index htm 2009 03 07 thi ewyaebkaemchchinaehlngkhxmulxunkhxmulthiekiywkhxngkb Diceros bicornis thiwikispichis