สมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาที่ 1 แห่งมาดากัสการ์ (อังกฤษ: Ranavalona I; ประมาณ ค.ศ. 1828 – 16 สิงหาคม ค.ศ. 1861) พระนามเดิมว่า รามาโว (Ramavo) หรือ รานาวาโล-มันจากาที่ 1 (Ranavalo-Manjaka I) เป็นพระประมุขของราชอาณาจักรมาดากัสการ์ ในช่วงปีค.ศ. 1828 ถึง ค.ศ. 1861 ทรงขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถหลังจากการสวรรคตของพระสวามี คือ พระเจ้าราดามาที่ 1 แห่งมาดากัสการ์ สมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาที่ 1 ทรงผลักดันนโยบายและนโยบายพึ่งพาตนเอง ลดทอนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองกับมหาอำนาจยุโรป ทรงขับไล่การโจมตีของมหาอำนาจฝรั่งเศสที่เมือง บริเวณชายฝั่งของอาณาจักร และทรงดำเนินมาตรการเข้มงวดในการจัดการที่เติบโตขึ้นในรัชกาลของพระเจ้าราดามาที่ 1 โดยสมาชิกของเป็นผู้ดำเนินการหลัก พระนางทรงดำเนินการอย่างเข้มข้นตามจารีตประเพณีดั้งเดิมของระบบแรงงานเกณฑ์ (ระบบฟานอมโปอานา; fanompoana; เป็นการบังคับใช้แรงงานเพื่อแทนการจ่ายภาษี) เพื่อดำเนินการสร้างโครงการสาธารณูปโภคและพัฒนากำลังพลชาวเมรินาในกองทัพที่มีจำนวนระหว่าง 20,000 ถึง 30,000 นาย กองพลเหล่านี้สมเด็จพระราชินีนาถทรงส่งไปรักษาความสงบบริเวณรอบนอกของเกาะ และส่งไปขยายอาณาเขต รัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาที่ 1 เป็นรัชกาลที่มีศึกสงครามบ่อยครั้งที่สุด มีโรคระบาด มีการบังคับใช้แรงงานอย่างทารุณ และระบบยุติธรรมที่รุนแรงโหดร้าย อันเป็นผลให้อัตราการมรณะของประชากรมาดากัสการ์มีการเสียชีวิตสูงที่สุดทั้งทหารและพลเรือน ตลอดระยะเวลาในรัชกาลของพระนางที่ยาวนานถึง 33 ปี
สมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาที่ 1 | |
---|---|
รามาโว สมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาที่ 1 แห่งมาดากัสการ์ | |
สมเด็จพระราชินีนาถแห่งมาดากัสการ์ | |
ครองราชย์ | 3 สิงหาคม ค.ศ. 1828 – 16 สิงหาคม ค.ศ. 1861 |
รัชสมัย | 33 ปี 13 วัน |
รัชกาลก่อนหน้า | พระเจ้าราดามาที่ 1 แห่งมาดากัสการ์ |
รัชกาลถัดไป | พระเจ้าราดามาที่ 2 แห่งมาดากัสการ์ |
ประสูติ | ประมาณ ค.ศ. 1778 |
สวรรคต | 16 สิงหาคม ค.ศ. 1861 อันตานานารีโว,ประเทศมาดากัสการ์ (พระชนมพรรษาประมาณ 82-83 พรรษา) |
พระราชสวามี | พระเจ้าราดามาที่ 1 แห่งมาดากัสการ์ ไรนิฮาโร ไรนิโจฮารี |
พระราชบุตร | พระเจ้ารามาดาที่ 2 แห่งมาดากัสการ์ |
สมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาที่ 1 แห่งมาดากัสการ์ | |
ราชวงศ์ | เมรีนา |
พระบรมราชชนก | เจ้าชายอันเดรียนทซารามันจากาแห่งมาเนเบ |
พระบรมราชชนนี | เจ้าหญิงราโบโดอันเดรียนแทมโป |
ถึงแม้ว่านโยบายของสมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาที่ 1 จะสร้างอุปสรรคมากมายต่อมหาอำนาจยุโรปก็ตาม แต่ความสนใจทางการเมืองในมาดากัสการ์ของอังกฤษและฝรั่งเศสก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลง เกิดการแบ่งแยกทางการเมืองในราชสำนักของสมเด็จพระราชินีนาถระหว่างฝ่ายจารีตดั้งเดิมกับฝ่ายฝักใฝ่ยุโรป กรณีนี้ได้สร้างโอกาสแก่คนกลางอย่างชาวยุโรปในความพยายามเร่งรัดให้พระโอรสของพระราชินีนาถรีบขึ้นสืบบัลลังก์แทนเป็น พระเจ้าราดามาที่ 2 เจ้าชายหนุ่มนั้นไม่ทรงเห็นด้วยกับพระราโชบายหลายเรื่องของพระราชชนนี และเจ้าชายทรงโอนอ่อนไปตามข้อเสนอของฝรั่งเศสที่จะขอประโยชน์จากการใช้สอยทรัพยากรบนเกาะ ตามข้อตกลงในที่ดำเนินการโดย ผู้แทนของฝรั่งเศสในปีค.ศ. 1855 แต่แผนการรัฐประหารของฝรั่งเศสนั้นล้มเหลว และเจ้าชายราดามาก็ไม่ได้ครองราชบัลลังก์ จนกระทั่งค.ศ. 1861 เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาที่ 1 เสด็จสวรรคตด้วยพระชนมายุ 83 พรรษา
ชาวยุโรปร่วมสมัยประณามนโยบายของสมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาที่ 1 และระบุว่าพระนางทรงเป็นจอมเผด็จการและบ้าคลั่งอย่างเลวร้าย ทัศนคติต่อพระนางในแง่ลบเหล่านี้ยังคงปรากฏอยู่ในวรรณกรรมต่างชาติจนกระทั่งถึงช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ในการวิจัยล่าสุดได้มองทัศนคติต่อพระนางในมุมใหม่ว่า การกระทำของพระนางรันฟาลูนาที่ 1 นั้น เป็นการกระทำไปในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถที่พยายามขยายขอบเขตของราชอาณาจักร โดยทรงปกป้องอำนาจอธิปไตยของชาวมาลากาซี ต่อต้านการรุกรานทางวัฒนธรรมและอิทธิพลทางการเมืองของมหาอำนาจยุโรป
ช่วงต้นพระชนม์ชีพ
เจ้าหญิงรามาโว ประวูติในปีค.ศ. 1778 ที่ตำหนักใน ระยะทาง 16 กิโลเมตร ทางตะวันออกของอันตานานารีโว เป็นพระราชธิดาในเจ้าชายอันเดรียนทซารามันจากากับเจ้าหญิงราโบโดอันเดรียนแทมโป เมื่อเจ้าหญิงรามาโวยังทรงพระเยาว์ พระบิดาของพระนางได้ทูลเตือนพระเจ้าอันเดรียนนามโบอินีเมรีนา (ครองราชย์ค.ศ. 1787-1810) ถึงการวางแผนลอบปลงพระชนม์ของ ผู้เป็นพระปิตุลาของกษัตริย์ ซึ่งทรงถูกพระเจ้าอันเดรียนนามโบอินีเมรีนาปลดจากราชบัลลังก์ที่เมือง ดังนั้นเพื่อตอบแทนที่ช่วยพระชนม์ชีพพระองค์ไว้ พระเจ้าอันเดรียนนามโบอินีเมรีนาจึงทรงจัดพิธีหมั้นและเสกสมรสเจ้าหญิงรามาโวให้กับพระโอรสของพระองค์คือ เจ้าชายราดามา ผู้ซึ่งกษัตริย์ทรงตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท นอกจากนี้พระองค์ทรงประกาศว่าทายาทของคู่สมรสทั้งสองนี้จะได้ขึ้นสืบราชบัลลังก์ต่อจากเจ้าชายราดามา
แม้ว่าจะทรงยกย่องเจ้าหญิงรามาโวขึ้นในฐานะพระชายาเอก แต่เจ้าหญิงก็ไม่ใช่พระชายาที่เจ้าชายราดามาทรงโปรดปราน และทั้งสองพระองค์ไม่ทรงมีพระโอรสธิดาร่วมกัน จนกระทั่งพระเจ้าอันเดรียนนามโบอินีเมรีนาสวรรคตในปี ค.ศ. 1810 พระเจ้าราดามาที่ 1 จึงครองราชย์สืบต่อพระราชบิดา และตามประเพณีของราชวงศ์คือต้องมีการประหารชีวิตญาติวงศ์ต่างๆที่อาจกระด้างกระเดื่อง พระเจ้าราดามาที่ 1 ทรงมีพระราชโองการให้ประหารพระญาติวงศ์ของสมเด็จพระราชินีรามาโว เหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งสองพระองค์มีความสัมพันธ์ที่เลวร้ายลง สมเด็จพระราชินีรามาโวไม่ทรงมีความสุขกับพระชนม์ชีพสมรสที่ไร้ซึ่งความรัก สมเด็จพระราชินีรามาโวผู้ถูกทอดทิ้งและเหล่าข้าราชบริพารหญิงจึงทรงใช้เวลาทั้งวันในการสนทนาและดื่มเหล้ารัมกับมิชชันนารี และเหล่าคณะมิชชันนารีที่บ้านพักของกริฟฟิทส์ การเสด็จเยือนพบปะกับกริฟฟิทส์หลายครั้งนี้ทำให้เกิดความสัมพันธ์ฉันท์มิตรสืบต่อไปอีกถึงสามสิบปี
สืบราชบัลลังก์
เมื่อพระเจ้าราดามาที่ 1 เสด็จสวรรคตโดยที่ไม่มีทายาท จากสาแหรกราชวงศ์เมรีนาทรงมีพระโอรส 1 พระองค์และพระธิดา 1 พระองค์ที่ประสูติแต่พระมเหสีรองคือ (สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1866) ได้แก่ เจ้าชายอิตซีมานเดรียมโบโวกา (1823-1824) และเจ้าหญิงราเคตากา ราซานาคินิมันจากา (1824-1828) เจ้าชายวัย 1 พรรษานั้นถูกลอบปลงพระชนม์โดย สมเด็จพระพันปีหลวงรามโบลามาโซอันโดร พระอัยยิกาของพระองค์ในปี ค.ศ. 1824 ซึ่งพระนางไม่ต้องการให้เชื้อสายชนเผ่าซากาลาวาทางฝั่งพระราชินีราซาลิโม ขึ้นครองราชย์ และสร้างอิทธิพลต่อต้านพระนาง ส่วนเจ้าหญิงราเคตากา ราซานาคินิมันจากา วัย 4 พรรษา ซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท คาดว่าทรงถูกลอบปลงพระชนม์หลังจากพระราชบิดาสวรรคตเช่นกัน ดังนั้นพระเจ้าราดามาที่ 1 จึงสวรรคตโดยไร้ทายาทในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1828 ตามกฎมณเฑียรบาล รัชทายาทผู้มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์คือ เจ้าชายราโกโตเบ (1808-1828) พระโอรสองค์โตในเจ้าหญิงราโบโดซาฮอนดา (1790 - 1828) พระเชษฐภคินีในพระเจ้าราดามาที่ 1 ซึ่งสิทธิของเจ้าชายได้รับการสนับสนุนจากสมเด็จพระพันปีหลวง ผู้เป็นพระราชอัยยิกา เจ้าชายราโกโตเบทรงเป็นผู้เฉลียวฉลาดและมีอัธยาศัยดี และเป็นนักเรียนคนแรกในของมาดากัสการ์ที่ก่อตั้งโดยในกรุงอันตานานารีโว ที่ตั้งขึ้นในเขตพระราชวัง พระเจ้าราดามาที่ 1 เสด็จสวรรคตโดยทรงฝากฝังข้าราชสำนักสองคนที่ทรงไว้วางพระทัยให้สนับสนุนการครองราชย์ของเจ้าชายราโกโตเบ แต่ข้าราชบริพารสองคนนั้นลังเลที่จะประกาศข่าวการสวรรคตของกษัตริย์เป็นเวลานานหลายวัน เนื่องจากพวกเขากลัวการตอบโต้จากศัตรูของกษัตริย์ ที่มีสิทธิสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าราดามาที่ 1 ในช่วงนี้ ข้าราชบริพารคนหนึ่ง ซึ่งเป็นนายทหารระดับสูง ที่ชื่อว่า อันเดรียมัมบา ได้ทราบความจริง และร่วมวางแผนกับข้าราชการที่ทรงอำนาจคนอื่นๆ ได้แก่ อันเดรียมิฮาจา, ไรนิโจฮารี และราวาโลท์ซาลามา ในการวางแผนสนับสนุนให้สมเด็จพระราชินีรามาโวขึ้นครองบัลลังก์ เพื่อชิงอำนาจก่อนกลุ่มของเจ้าชายราโกโตเบและสมเด็จพระพันปีหลวงรามโบลามาโซอันโดร ซึ่งสมเด็จพระราชินีรามาโวในขณะนั้นไม่ได้ทรงมีพระราชอำนาจมากมาย
เหล่าข้าราชการกลุ่มนี้ได้รีบนำพาสมเด็จพระราชินีรามาโวและพระสหายไปหลบซ่อนยังสถานที่ที่ปลอดภัย จากนั้นข้าราชการกลุ่มนี้ได้รีบเร่งหากำลังสนับสนุนจากกลุ่มอำนาจผู้ทรงอิทธิพลต่างๆ รวมถึงกลุ่มคณะตุลาการและผู้รักษา (Sampy; เครื่องรางประจำราชวงศ์) โดยรีบดำเนินการก่อนกลุ่มของเจ้าชายราโกโตเบและสมเด็จพระพันปีหลวงรามโบลามาโซอันโดร เหล่าข้าราชการได้รวบรวมกำลังพลเพื่อสมเด็จพระราชินีรามาโว ดังนั้นในวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1828 พระนางทรงประกาศพระองค์เองในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ของพระเจ้าราดามาที่ 1 และทรงอ้างว่าเป็นไปตามพระบรมราชโองการของพระเจ้าราดามา ซึ่งไม่ทำให้เกิดกระแสต่อต้าน สมเด็จพระราชินีรามาโวทรงเลือกใช้พระนามว่า "รันฟาลูนา" (Ranavalona; แปลว่า "ปกคลุม" หรือ "เก็บไว้") จากนั้นทรงปฏิบัติตามพระราชประเพณีโบราณอย่างทันทีโดยทรงมีพระรับสั่งให้จับกุมศัตรูทางการเมืองทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ของพระเจ้าราดามาที่ 1 และทรงสั่งประหารชีวิตในทันที ผู้สิ้นพระชนม์ได้แก่ เจ้าชายราโกโตเบ, สมเด็จพระพันปีหลวงรามโบลามาโซอันโดร อดีตพระสัสสุของพระนาง, เจ้าหญิงราโบโดซาฮอนดา พระเชษฐภคินีในกษัตริย์องค์ก่อน ซึ่งเป็นพระชนนีในเจ้าชายราโกโตเบ รวมถึงทรงสั่งประหารพระอนุชา พระเชษฐภคินีและพระขนิษฐาของพระเจ้าราดามาที่ 1 เกือบทุกพระองค์ที่ทรงเห็นว่าเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ ทรงทำเช่นนี้กับพระราชตระกูลสายอดีตพระสวามีเพราะทรงต้องการแก้แค้นกับสิ่งที่พระเจ้าราดาที่ 1 ทรงเคยสั่งฆ่าล้างพระราชตระกูลสายของพระนาง นี้สิ้นสุดลงเมื่อ สมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1829
จากการสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระสวามี ทำให้สมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาทรงเป็นพระประมุขสตรีพระองค์แรกแห่งราชอาณาจักรเมรีนา นับตั้งแต่ก่อตั้งในปีค.ศ. 1540 การก้าวขึ้นสู่พระราชอำนาจของพระนางเกิดขึ้นท่ามกลางสภาพสังคมที่ชื่นชอบผู้ชายมากกว่าผู้หญิงในทางการเมือง ในวัฒนธรรมดั้งเดิมของอิเมรีนา ผู้ปกครองจะได้รับการยกย่องอย่างเป็นพิเศษด้วยอำนาจที่จะต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้โดยหลีกเลี่ยงจากกรอบบรรทัดฐานและธรรมเนียมที่ถูกกำหนดไว้ เหล่าผู้ปกครองมักจะปรับเปลี่ยนรูปแบบของอำนาจผ่านการสร้างรูปแบบการเกี่ยวดองทางเครือญาติแบบใหม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานดั้งเดิมของระเบียบทางการเมือง อย่างไรก็ตามผู้หญิงมีความเกี่ยวข้องกับสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นหน่วยความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและจะเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับการใช้บทบาทและอำนาจในฐานะประมุข และผู้หญิงถูกมองว่าไม่เหมาะสมที่จะขึ้นมาปกครองประเทศ แม้ว่าการมีประมุขสตรีครั้งหนึ่งจะเคยเป็นเรื่องปกติในหมู่พวก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกอธิบายไว้ว่าเป็นผู้อาศัยดั้งเดิมในเกาะมาดากัสการ์ ประเพณีผู้ปกครองสตรีสิ้นสุดลงในที่ราบสูงภาคกลางในรัชกาลของ (1540-1575) กษัตริย์ผู้ก่อตั้งราชอาณาจักรเมรีนา พระองค์ทรงสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระราชชนนีซึ่งเป็นชาววาซิมบาคือ สมเด็จพระราชินีนาถราฟอไฮแห่งอาราโซรา (1530-1540) หลังจากนั้นก็ไม่มีประมุขสตรีอีก จนล่วงมาถึงสมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาที่ 1
รัชกาล
ระยะเวลารัชกาล 33 ปีของสมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนา ได้ถูกระบุว่าเป็นรัชกาลทรงพยายามเสริมสร้างพระราชอำนาจในประเทศของราชอาณาจักรเมรีนา ด้วยการกำราบแคว้นต่างๆ และปกป้องอำนาจอธิปไตยทางการเมืองและวัฒนธรรมของมาดากัสการ์ นโยบายเหล่านี้ถูกกำหนดจากบริบทการเพิ่มขึ้นของอิทธิพลมหาอำนาจยุโรปภายในราชอาณาจักร และเกิดการแข่งขันด้านอิทธิพลกันระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษเหนือเกาะแห่งนี้ ช่วงต้นรัชกาล สมเด็จพระราชินีนาถทรงดำเนินการตามลำดับขั้นเพื่อให้มาดากัสการ์ถอยหากจากมุมมองของยุโรป ประการแรก ทรงยุติสนธิสัญญามิตรภาพกับอังกฤษ จากนั้นทรงวางข้อจำกัดแก่การเผยแพร่ศาสนาของให้มากขึ้น ซึ่งสมาคมนี้ดำเนินการสอนด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาด้านการค้า นอกจากนั้นยังสอนเกี่ยวกับ ในปีค.ศ. 1835 สมเด็จพระราชินีนาถประกาศห้ามให้มีการประกอบพิธีกรรมตามหลักคริสต์ศาสนาในหมู่ชาวมาลากาซี และภายในหนึ่งปี ชาวต่างชาติทั้งหมดได้เดินทางออกจากราชอาณาจักรของพระนางเสียสิ้น
สมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาทรงดำเนินนโยบายพึ่งพาตนเองอย่างต่อเนื่อง ด้วยการยกเลิกสนธิสัญญาทางการค้ากับต่างประเทศเกือบทั้งหมด ทรงยึดมั่นในนโยบายตามแบบโบราณที่เรียกว่า ระบบฟานอมโปอานา (fanompoana) หรือ ระบบแรงงานเกณฑ์ เป็นการบังคับใช้แรงงานเพื่อแทนการจ่ายภาษีในรูปแบบเงินหรือสินค้า สมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาทรงดำเนินนโยบายสงครามขยายอาณาเขต ต่อจากรัชกาลก่อน คือ พระเจ้าราดามาที่ 1 ซึ่งทรงพยายามขยายอำนาจครอบคลุมทั้งเกาะ และทรงลงโทษอย่างหนักต่อผู้ที่ทรงมองว่ากระทำการต่อต้านพระราชประสงค์ของพระนาง ยุทธการทางการทหารของพระนางนำมาซึ่งการสูญเสียชีวิตประชาชนตลอดระยะเวลาหลายปี รวมถึงมีอัตราการตายในหมู่แรงงานฟานอมโปอานาสูงมาก และการเสียชีวิตจากระบบยุติธรรมตามจารีตประเพณีของพระนางที่รุนแรง ทำให้จำนวนประชากรของมาดากัสการ์ลดลงจากจำนวนประมาณ 5 ล้านคน เหลือประมาณ 2.5 ล้านคน ในช่วงปีค.ศ. 1833 และ 1839 และในราชอาณาจักรเมรีนาเอง ประชากรลดลงจาก 750,000 คน เหลือ 130,000 คน ในรอบปีค.ศ. 1829 ถึงค.ศ. 1842 ด้วยสถิติเหล่านี้ทำให้บันทึกประวัติศาสตร์จำนวนมากค่อนข้างจะบันทึกไปในเชิงต่อต้านรัชกาลสมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาเป็นส่วนใหญ่
รัฐบาล
ตามโบราณราชประเพณีที่สืบต่อมาจากพระมหากษัตริย์เมรีนาในรัชกาลก่อนๆ สมเด็จพระราชินีนาถจะทรงปกครองประเทศจากศูนย์กลางที่พระราชวัง ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1839 ถึง 1842 เป็นผู้ดำเนินการสร้างพระตำหนักใหม่ของสมเด็จพระราชินีนาถที่มีชื่อว่า มันจากามิอาดานา (Manjakamiadana) ซึ่งเป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดที่ถูกสร้างในเขตรูวา พระตำหนักสร้างขึ้นจากไม้เกือบทั้งหมดและสร้างตามรูปแบบของชาวเมรีนา ชนชั้น (Andriana; ชนชั้นสูง) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่มีการใช้เสาหลัก (Andry; อันดรี) เพื่อรองรับหลังคา นอกเหนือจากนี้มีการเปิดเผยนวัตกรรมแบบยุโรปเข้ามาด้วย ก็คือเป็นการสร้างอาคารสามชั้นล้อมรอบด้วยระเบียงไม้ และมีการสร้างหน้าต่างไว้รวมกับมุงหลังคา ต่อมาพระราชวังถูกติดคลุมภายนอกด้วยหินในปีค.ศ. 1867 โดยจากสมาคมมิชชันนารีลอนดอนในช่วงรัชสมัยของ พระราชวังเดิมที่สร้างจากไม้ของสมเด็จพระราชินีรันฟาลูนาที่ 1 รวมถึงอาคารเกือบทั้งหมดของเขตวังรูวาได้ถูกเพลิงไหม้ทำลายใปในปีค.ศ. 1995 คงเหลือแต่เปลือกนอกอาคารที่เป็นหินที่ยังคงตั้งโดดเด่นอยู่จนปัจจุบัน
หลายคนให้การยอมรับว่า การปกครองของสมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนานั้นเป็นการสานต่อแนวนโยบายของพระเจ้าราดามาที่ 1 พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ทรงสนับสนุนเทคโนโลยีใหม่ๆและองค์ความรู้จากต่างชาติ เพื่อสนับสนุนแนวนโยบายการทำให้เศรษฐกิจเป็นแบบอุตสาหกรรม และรับมาตรฐานการสร้างกองทัพให้มีลักษณะเป็นทหารอาชีพ แต่ทั้งสองพระองค์มีความคิดเห็นที่ตรงกันข้ามกันในเรื่องชาวต่างชาติ มีการสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวและมีการใช้ความคิดความรู้ความชำนาญของพวกเขาให้เป็นประโยชน์ ในขณะที่มีตั้งข้อจำกัดต่างๆแก่ชาวต่างชาติเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและวัฒนธรรมที่อาจเกิดขึ้นอันส่งผลกระทบต่อความมั่นคง นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์มีส่วนเกี่ยวข้องในการริเริ่มพัฒนาระบบราชการให้มีความซับซ้อน ซึ่งทำให้ราชสำนักเมรีนาสามารถควบคุมแคว้นต่างๆที่อยู่ห่างไกลรอบเกาะได้ที่มีอาณาเขตใหญ่กว่าประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่
สมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาที่ 1 ทรงสามารถรักษาประเพณีการปกครองได้ด้วยการสนับสนุนจากเหล่าคณะที่ปรึกษาที่ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มคนชนชั้นขุนนาง เสนาบดี หรือ รัฐมนตรีที่มีอำนาจมากที่สุดคือ คู่อภิเษกสมรสของพระนางเอง ประธานคณะที่ปรึกษาคนแรกของพระนางคือนายทหารหนุ่มจาก ที่ชื่อว่า อันเดรียมิฮาจา ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งเป็น อัครมหาเสนาบดี ตั้งแต่ปีค.ศ. 1829 ถึง 1830 พลตรีอันเดรียมิฮาจาถูกเชื่อว่าเป็นบิดาที่แท้จริงของพระราชโอรสองค์เดียวในพระราชินี คือ เจ้าชายราโกโต (ต่อมาคือ พระเจ้าราดามาที่ 2) ซึ่งประสูติขึ้นหลังจากพระบิดาตามกฎหมายคือ พระเจ้าราดามาที่ 1 สวรรคตไปแล้ว 11 เดือน ในช่วงต้นรัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาที่ 1 อันเดรียมิฮาจาเป็นผู้นำฝ่ายหัวก้าวหน้าในราชสำนัก ซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องการให้คงความสัมพันธ์อันดีกับประเทศในยุโรปตั้งแต่สมัยพระเจ้าราดามาที่ 1 ส่วนฝ่ายอนุรักษ์นิยมนำโดยสองพี่น้อง คือ ไรนิมาฮาโร และไรนิฮาโร ไรนิฮาโร ผู้น้องคนนี้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานผู้รักษา (Sampy; เครื่องรางประจำราชวงศ์) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีอิทธิพลสูงมาก เครื่องรางประจำราชวงศ์อันนี้ถูกเชื่อว่าเป็นสิ่งรวบรวมและเป็นทางผ่านของพลังอำนาจเหนือธรรมชาติทั้งหลายของแต่ละรัชกาล และเครื่องรางนี้มีบทบาทหลักต่อจิตวิญญาณของประชาชนชาวเมรีนาที่สืบเนื่องมาตั้งแต่รัชกาลของในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ฝ่ายอนุรักษ์นิยมพยายามลดทอนอำนาจของแนวคิดหัวก้าวหน้าของอันเดรีนมิฮาจาที่มีอิทธิพลเหนือสมเด็จพระราชินีนาถ และในเดือนกันยายน ค.ศ. 1830 ฝ่ายอนุรักษ์นิยมพยายามโน้มน้าวจนสมเด็จพระราชินีนาถหลงเชื่อในข้อกล่าวหาต่ออันเดรียมิฮาจา พระนางลงพระปรมาภิไธยในคำสั่งประหารชีวิตอันเดรียมิฮาจาในข้อหากระทำการใช้เวทมนตร์คาถาและข้อหากบฏ เขาถูกจับกุมตัวที่พำนักในทันทีและถูกสังหาร
หลังมรณกรรมของอันเดรียมิฮาจา อิทธิพลของกลุ่มการเมืองเก่าหัวก้าวหน้าที่มีอำนาจในรัชสมัยของพระเจ้าราดามาที่ 1 ได้ถูกลดทอนความสำคัญลง แทนที่ด้วยคณะที่ปรึกษาฝ่ายอนุรักษ์นิยมในราชสำนัก ซึ่งใกล้ชิดสมเด็จพระราชินีนาถมากขึ้น ในที่สุดมีการจัดพิธีอภิเษกสมรสทางการเมืองระหว่างสมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนากับไรนิฮาโร เจ้าพนักงานผู้รักษาซัมปี และได้ขึ้นมาเป็นผู้นำฝ่ายอนุรักษ์นิยม จอมพลไรนิฮาโรแห่งเนินเขาอิลาฟี (Ilafy) (เขามักถูกเรียกชื่อว่า ราโวนินาฮิทรีนิอาริโว) ในปีค.ศ. 1833 ไรนิฮาโรเดิมได้เข้าสู่ราชสำนักเพราะความดีความชอบของบิดาของเขา บิดาของเขาคือ อันเดรียนท์ซิลาโวนานเดรียนา เป็นคนชนชั้น (Hova; สามัญชน) ซึ่งได้รับสิทธิพิเศษเหนือประชาชนคนธรรมดาในการเข้าร่วมกับคณะขุนนางที่ปรึกษาของพระเจ้าอันเดรียนนามโบอินีเมรีนา กษัตริย์ในสองรัชกาลก่อน จอมพลไรนิฮาโรได้ดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีในสมเด็จพระราชินีนาถในปีค.ศ. 1830 ถึง 1832 และต่อมาได้เป็นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงผู้บัญชาการทหาร ในปีค.ศ. 1832 ถึง 1852 ต่อมาเมื่อไรนิฮาโรถึงแก่อสัญกรรม สมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาทรงอภิเษกสมรสใหม่กับฝ่ายอนุรักษ์นิยมอีกคนหนึ่ง คือ จอมพลอันเดรียนิซา (มักถูกเรียกชื่อว่า ไรนิโจฮารี) ซึ่งเป็นพระสวามีของพระราชินีเรื่อยมาจนกระทั่งพระนางสวรรคตในปีค.ศ. 1861 และเข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในปีค.ศ. 1852 ถึง 1862 ก่อนที่จะถูกเนรเทศไปยัง เมืองหลวงเก่า จากข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องในการวางแผนต่อต้านพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ คือ พระเจ้าราดามาที่ 2
ตามธรรมเนียม ประมุขเมรีนาจะพึ่งพาระบบถ้อยคำแถลง (Kabary; คำสุนทรพจน์) ในการเสด็จออกมหาสมาคมเป็นนโยบายในการเข้าถึงประชาชนและยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างประมุขและประชาชน เนื่องจากสมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาที่ 1 ทรงขาดประสบการณ์ในการมีพระราชดำรัสในที่สาธารณะและขาดประสบการณ์ทางการเมือง พระนางทรงโปรดที่จะสั่งการและแจ้งข้าราชบริพารผ่านทางการเขียนหนังสือและจดหมาย ซึ่งทรงได้รับการสอนวิธีการเขียนจากคณะมิชชันนารี พระนางทรงพยายามเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประชาชนด้วยการออกมหาสมาคมคาบารีในแต่ละโอกาส และทรงพยายามปฏิบัติตามประเพณีดั้งเดิมของประมุขเมรีนาในฐานะผู้ประทาน (Hasina; พรจากบรรพบุรุษ) โดยการเป็นผู้ประกอบพระราชประเพณีแบบดั้งเดิม รวมถึงพิธี (Fandroana; พิธีกรรมต่อายุปีใหม่) ที่มีการประกอบยัญกรรมบูชาภาพแทนพระราชวงศ์ และถวายเครื่องกำนัล (vodiondry) และอาหารประเภทเนื้อที่เรียกว่า ในงานประเพณีต่างๆ สมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาทรงริเริ่มพิธีกรรมแบบดั้งเดิมเหล่านี้โดยทรงเพิ่มขั้นตอนให้ซับซ้อนมากขึ้นและเพิ่มนัยสัญลักษณ์เพื่อให้มีความสำคัญและสร้างความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น
การฟื้นฟูและการปราบปราม
ในพระราชพิธีครองราชสมบัตินั้น พระราชินีรันฟาลูนาทรงให้สัตย์สาบานว่าจะสนับสนุนพิธีกรรมดั้งเดิมและความเชื่อเก่าแก่ และป้องกันขอบเขตราชอาณาจักรของพระนาง ในรัชสมัยของพระเจ้ารามาดาทรงเริ่มการทันสมัยและผูกสัมพันธ์กับชาวตะวันตก แต่ในรัชสมัยพระราชินีรันฟาลูนาทรงริเริ่มกลุ่มนายหน้าเก่าเช่น บาทหลวง,ผู้พิพากษา,พ่อค้าทาส ได้การควบคุมกลับมาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเมรีนา ในวันที่พระนางประกอบราชิภิเษกนั้น พระนางทรงสั่งประหารชีวิตพระญาติใกล้ชิดกับพระนางทันที่ถึง 7 คนเป็นการเอาฤกษ์ ตามรายงานของคณะมิชชันนารีอังกฤษได้ระบุว่าพระนางทรงสั่งให้ประหารพระญาติฝ่ายพระสวามีทั้งหมด รวมทั้งเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ที่มีสิทธิในการครองราชย์ เนื่องจากพระเจ้ารามาดาทรงผูกสัมพันธ์กับอังกฤษ และพระนางทำให้การค้าทาสเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย พระนางทรงมีวิธีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาคือ ให้ผู้ถูกกล่าวหาดื่มยาพิษเข้าไปแล้วรอดชีวิต จะถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และจะได้รับเงินทำขวัญ ความหวาดกลัวชาวต่างชาติและการเตือนเกี่ยวกับอาณานิคมยุโรป พระนางทรงสั่งประหารชีวิตชาวต่างชาติทุกคนโดยเฉพาะชาวอังกฤษที่พระนางเกลียดชังอย่างมาก ทรงประหารชีวิตชาวพื้นเมืองที่ถือสัญชาติอังกฤษหรือเป็นลูกผสมระหว่างชนพื้นเมืองกับชาวอังกฤษโดยทันที แม้แต่คณะมิชชันนารีก็ไม่ละเว้นถูกขับไล่ออกไปจากมาดากัสการ์ พระนางทรงออกกฎหมายลงโทษขั้นประหารชีวิตผู้ที่บังอาจเผยแพร่ศาสนาคริสต์
การไล่ล่าชาวคริสเตียน
พระราชินีรันฟาลูนาทรงเป็นผู้ประหัตประหารชาวครีสเตียนที่บริสุทธิ์หลังจากการขับไล่คณะมิชชันนารีออกจากเกาะแต่พระนางทรงล้มเหลวในการกวาดล้างศาสนาคริสต์ในประเทศให้หมดสิ้น ประชาชนทุกคนที่ครอบครองคัมภีร์ไบเบิลและประกาศเป็นคริสต์ศาสนิกชนจะถูกประหารทั้งหมด บ้างถูกจับตรึงเหมือนไก่และโยนจากยอดเนินเขาหลายๆครั้งจนกว่าจะตาย คนอื่นๆถูกราดด้วยเลือดและให้ฝูงสุนัขป่ารุมกินทั้งเป็น บ้างถูกอาวุญที่เป็นโลหะแบนๆเสียบทะลุเข้าไปในกระดูกสันหลังหลายๆแผ่นจนกว่าจะตาย บางคนอาจถูกตีตายก่อนที่จะตัดหัวเสียบประจาน บางถูกจับลงเป็นในน้ำที่ต้มเดือด บางคนถูกจับนอนแล้วให้หินกลิ้งลงมาทับ หนึ่งในวิธีประหารที่พระนางรันฟาลูนาทรงโปรดปรานที่สุดคือ การให้ดื่มยาพิษ หรือไม่ก็ขายให้เป็นทาส
สาเหตุที่ทรงเกลียดชังศาสนาคริสต์คือ พระนางทรงไม่ชอบพฤติกรรมของชาวคริสต์ พวกเขาสวดเป็นประจำแต่ปฏิเสธที่จะเคารพพระเจ้าของพระนาง พวกเขาหลีกเลี่ยงการบูชาเทวรูป พวกเขารวมตัวกันสักการะอย่างซ้ำซาก พระนางทรงกริ้วมากเมื่อชาวคริสต์โกรธแค้นที่พระนางประหารชาวคริสต์ถึง 1,600 คน ได้พยายามยึดบัลลังก์ พระนางทรงแก้แค้นด้วยการแขวนผู้นำคริสเตียน 15 คนด้วยเชือกยาว 150 ฟุตเหนือช่องหินในหุบเขาข้างพระราชวัง โดยทรงถามว่าจะนับถือศาสนาคริสต์หรือพระเจ้าของราชินี เหล่าผู้นำตอบปฏิเสธ เชือกจึงถูกตัด บางคนสวดกลอนศาสนาก่อนที่ร่างจะลงไปกระแทกกับก้อนหินที่อยู่เบื้องล่าง ปัจจุบันที่นั่นคือศาลเจ้าอิมพรอมตู
ลาบอร์ด
ฝรั่งเศสซึ่งได้รับบางเกาะของมาดากัสการ์ ได้สนใจที่จะครอบครองมาดากัสการ์ การเคลื่อนไหวนั้นเกืดการต่อต้านจากอังกฤษซึ่งสนใจเส้นทางหลักในการเดินทางไปอินเดีย ด้วยการล้มเลิกสนธิสัญญาอังกฤษ-เมรีนา อย่างไรก็ตามพระนางรันฟาลูนาคิดว่าอาจทรงถูกทำลายได้ง่ายโดยอังกฤษในเวลาไม่นาน พระนางทรงขับไล่การโจมตีของฝรั่งเศสที่ฟัวพอยน์ในปีพ.ศ. 2372 แต่พระนางทรงอยู่ในจุดยืนที่อันตราย เคราะห์ดีของพระนางที่ทรงได้รับการช่วยเหลือเมื่อซึ่งเรืออัปปางที่มาดากัสการ์ในปีพ.ศ. 2375
ลาบอร์ดได้ให้คำแนะนำแก่พระนางและได้นายหน้าผลิตปืนใหญ่,ปืนคาบศิลาและดินปืน เขาได้กำลังแรงงานคนและวัตถุดิบสำหรับสร้างอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนากองทัพให้ทันสมัย สร้างอิสรภาพแก่ราชอาณาจักรจากอาวุธอาณานิคม
แผนการลับ
พระโอรสของพระนางเจ้าชายราโกโต ประสูติในปีพ.ศ. 2372 และพระบิดาตามกำหมายของพระองค์คือ พระเจ้าราดามาที่ 1 ผู้ซึ่งสวรรคตมานานกว่า 9 เดือนก่อนที่พระองค์ประสูติ อย่างไรก็ตามธรรมเนียมโบราณกำหนดให้เป็นพระโอรสของพระเจ้าราดามา ลาบอร์ดสนิทกับพระองค์มากและให้การศึกษาแก่พระองค์ การเพิ่มขึ้นของความเกลียดชังตลอดรัชกาลของพระราชินีระหว่างมาดากัสการ์กับยุโรป ได้หาทางช่วยชาวฝรั่งเศสในประเทศ เขาได้เดินทางมาในราชสำนักของพระนางในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2400 และได้วางแผนการลับกับลาบอร์ดและผู้นำท้องถิ่นเพื่อโค่นราชบัลลังก์ของพระนางและอัญเชิญเจ้าชายราโกโตครองราชย์ต่อ นักท่องเที่ยวรอบโลก ได้เข้าร่วมแผนการอย่างไม่เจตนา แต่แผนการนี้รั่วไหล พระนางสั่งประหารผู้นำท้องถิ่นทั้งหมดและสั่งห้ามชาวยุโรปเข้ามา พระราชินีรันฟาลูนาทรงไม่สังหารชาวยุโรปเนื่องจากทรงกลัวการแก้แค้น เกิดโรคระบาดในมาดากัสการ์ชาวยุโรปหลายคนล้มตาย อีดา ไฟเฟอร์ไม่ได้รับการรักษาและเสียชีวิตด้วยไข้มาลาเรีย
เสด็จสวรรคต
ระหว่างปีสุดท้ายของการครองราชย์ของพระนาง ทรงกังวลต่อการขยายของลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกในแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งไม่ยอมรับการค้าทาส พระนางยังคงรักษาความโหดเหี้ยมของพระนางและต้องการรักษาระบบค้าทาสไว้ สมเด็จพระราชินีรันฟาลูนาที่ 1 เสด็จสวรรคตอย่างสงบในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2404 หลังจากทรงปกครองประเทศยาวนานถึง 33 ปี ท่ามกลางความโล่งอกของพสกนิกร อังกฤษและฝรั่งเศสทำสัญญาร่วมกัน ฝรั่งเศสเข้าครอบครองเกาะนี้กลายเป็นดินแดนในอาณัติของฝรั่งเศสและการค้าทาสได้ถูกล้มเลิกอย่างสมบูรณ์ ด้วยการเปิดคลองสุเอซในปีพ.ศ. 2412 อังกฤษสนใจที่จะขับไล่ฝรั่งเศสที่กำลังทรุดตัวออกจากมาดากัสการ์
พระโอรสของพระนาง เจ้าชายราโกโตได้ครองราชย์ต่อเป็น พระเจ้าราดามาที่ 2 แห่งมาดากัสการ์
อ้างอิง
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-08-03. สืบค้นเมื่อ 2018-02-11.
- Campbell (2012), p. 713
- Campbell (2012), p. 1078
- Académie malgache (1958), p. 375
- Freeman and Johns (1840), pp. 7–17
- Campbell (2012), p. 51
- Royal Ark
- Royal Ark
- Oliver (1886), pp. 42–45
- Rasoamiaramanana, Micheline (1989–1990). "Rainijohary, un homme politique meconnu (1793–1881)". Omaly sy Anio (ภาษาฝรั่งเศส). 29–32: 287–305.
- Ellis (1838), pp. 421–422
- Berg, Gerald (1995). "Writing Ideology: Ranavalona, the Ancestral Bureaucrat". History in Africa. 22: 73–92. doi:10.2307/3171909. JSTOR 3171909.
- Bloch (1986), p. 106
- Campbell (2012), pp. 185–186
- Campbell, Gwyn (October 1991). "The state and pre-colonial demographic history: the case of nineteenth century Madagascar". Journal of African History. 23 (3): 415–445.
- Laidler (2005)
- L'habitation à Madagascar (1898), pp. 920–923
- Frémigacci (1999), p. 427
- Ade Ajayi (1989), p. 423
- Oliver (1886), pp. 45–47
- Freeman and Johns (1840), pp. 17–22
- Prout (1863), p. 14
อ้างอิง
- Académie malgache. Collection de documents concernant Madagascar et les pays voisins, Volume 4, Part 4 (ภาษาฝรั่งเศส). Antananarivo: Imprimerie Moderne de l'Emyrne.
- Ade Ajayi, Jacob Festus (1989). Africa in the Nineteenth Century until the 1880s. Paris: UNESCO. ISBN .
- Andrew, David; Blond, Becca; Parkinson, Tom; Anderson, Aaron (2008). Lonely Planet Madagascar & Comoros. London: Lonely Planet. ISBN .
- Bloch, Maurice (1986). From blessing to violence: history and ideology in the circumcision ritual of the Merina of Madagascar. Cambridge, UK: Cambridge University Press. ISBN .
- Campbell, Gwyn (2012). David Griffiths and the Missionary "History of Madagascar". Leiden, The Netherlands: Brill. ISBN .
- Cole, Jennifer (2001). Forget Colonialism?: Sacrifice and the Art of Memory in Madagascar. Berkeley, CA: University of California Press. ISBN .
- Ellis, William (1838). Volume 2 of History of Madagascar: Comprising Also the Progress of the Christian Mission Established in 1818. London: Fisher, Son & Co.
- Ellis, William (1870). The Martyr Church. London: J. Snow.
- Freeman, Joseph John; Johns, David (1840). A narrative of the persecution of the Christians in Madagascar: with details of the escape of six Christian refugees now in England. Berlin: J. Snow. สืบค้นเมื่อ February 5, 2011.
- Frémigacci, Jean (1999). "Le Rova de Tananarive: Destruction d'un lieu saint ou constitution d'une référence identitaire?". ใน Chrétien, Jean-Pierre (บ.ก.). Histoire d'Afrique (ภาษาฝรั่งเศส). Paris: Editions Karthala. pp. 421–444. ISBN .
- Koschorko, Klaus; Ludwig, Frieder; Delgado, Mariano (2007). A history of Christianity in Asia, Africa and Latin America, 1450–1990. Cambridge, U.K.: Wm. B. Eerdmans Publishing Co. ISBN .
- Laidler, Keith (2005). Female Caligula: Ranavalona, the Mad Queen of Madagascar. London: John Wiley & Sons. ISBN .
- "L'habitation à Madagascar". Colonie de Madagascar: Notes, reconnaissances et explorations (ภาษาฝรั่งเศส). Vol. 4. Imprimerie Officielle de Tananarive. 1898.
- MacDonald Fraser, George (1977). Flashman's Lady. London: Collins. ISBN .
- Oliver, Samuel (1886). Madagascar: An Historical and Descriptive Account of the Island and its Former Dependencies. Vol. 1. New York: Macmillan and Co.
- Pfeiffer, Ida (1861). The last travels of Ida Pfeiffer: inclusive of a visit to Madagascar. London: Harper.
- Prout, Ebenezer (1863). Madagascar: Its Mission and Its Martyrs. London: London Missionary Society.
- Raison-Jourde, Françoise (1991). Bible et pouvoir à Madagascar au XIXe siècle. Antananarivo: Karthala Editions. ISBN .
- Ralibera, Daniel; De Taffin, Gabriel (1993). Madagascar et le christianisme (ภาษาฝรั่งเศส). Paris: Karthala Editions. ISBN .
- Sharp, Leslie (2002). The Sacrificed Generation: Youth, History, and the Colonized Mind in Madagascar. Berkeley, CA: University of California Press. ISBN .
- Meanings in Madagascar by Oyvind and Yvind Dahl[]
- Madagascar Rediscovered by Mervin Brown.
ก่อนหน้า | สมเด็จพระราชินีนาถรันฟาลูนาที่ 1 | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระเจ้าราดามาที่ 1 แห่งมาดากัสการ์ | สมเด็จพระราชินีนาถแห่งมาดากัสการ์ (ราชวงศ์เมรีนา) (3 สิงหาคม พ.ศ. 2371 – 16 สิงหาคม พ.ศ. 2404) | พระเจ้าราดามาที่ 2 แห่งมาดากัสการ์ |
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
smedcphrarachininathrnfalunathi 1 aehngmadakskar xngkvs Ranavalona I praman kh s 1828 16 singhakhm kh s 1861 phranamedimwa ramaow Ramavo hrux ranawaol mncakathi 1 Ranavalo Manjaka I epnphrapramukhkhxngrachxanackrmadakskar inchwngpikh s 1828 thung kh s 1861 thrngkhunkhrxngrachyepnsmedcphrarachininathhlngcakkarswrrkhtkhxngphraswami khux phraecaradamathi 1 aehngmadakskar smedcphrarachininathrnfalunathi 1 thrngphlkdnnoybayaelanoybayphungphatnexng ldthxnkhwamsmphnththangesrsthkicaelakaremuxngkbmhaxanacyuorp thrngkhbilkarocmtikhxngmhaxanacfrngessthiemuxng briewnchayfngkhxngxanackr aelathrngdaeninmatrkarekhmngwdinkarcdkarthietibotkhuninrchkalkhxngphraecaradamathi 1 odysmachikkhxngepnphudaeninkarhlk phranangthrngdaeninkarxyangekhmkhntamcaritpraephnidngedimkhxngrabbaerngnganeknth rabbfanxmopxana fanompoana epnkarbngkhbichaerngnganephuxaethnkarcayphasi ephuxdaeninkarsrangokhrngkarsatharnupophkhaelaphthnakalngphlchawemrinainkxngthphthimicanwnrahwang 20 000 thung 30 000 nay kxngphlehlanismedcphrarachininaththrngsngiprksakhwamsngbbriewnrxbnxkkhxngekaa aelasngipkhyayxanaekht rchkalkhxngsmedcphrarachininathrnfalunathi 1 epnrchkalthimisuksngkhrambxykhrngthisud miorkhrabad mikarbngkhbichaerngnganxyangtharun aelarabbyutithrrmthirunaerngohdray xnepnphlihxtrakarmrnakhxngprachakrmadakskarmikaresiychiwitsungthisudthngthharaelaphleruxn tlxdrayaewlainrchkalkhxngphranangthiyawnanthung 33 pismedcphrarachininathrnfalunathi 1ramaow smedcphrarachininathrnfalunathi 1 aehngmadakskarsmedcphrarachininathaehngmadakskarkhrxngrachy3 singhakhm kh s 1828 16 singhakhm kh s 1861rchsmy33 pi 13 wnrchkalkxnhnaphraecaradamathi 1 aehngmadakskarrchkalthdipphraecaradamathi 2 aehngmadakskarprasutipraman kh s 1778swrrkht16 singhakhm kh s 1861 xntananariow praethsmadakskar phrachnmphrrsapraman 82 83 phrrsa phrarachswamiphraecaradamathi 1 aehngmadakskar irnihaor irniochariphrarachbutrphraecaramadathi 2 aehngmadakskarsmedcphrarachininathrnfalunathi 1 aehngmadakskarrachwngsemrinaphrabrmrachchnkecachayxnedriynthsaramncakaaehngmaenebphrabrmrachchnniecahyingraobodxnedriynaethmop thungaemwanoybaykhxngsmedcphrarachininathrnfalunathi 1 casrangxupsrrkhmakmaytxmhaxanacyuorpktam aetkhwamsnicthangkaremuxnginmadakskarkhxngxngkvsaelafrngesskimidldnxythxylng ekidkaraebngaeykthangkaremuxnginrachsankkhxngsmedcphrarachininathrahwangfaycaritdngedimkbfayfkifyuorp krniniidsrangoxkasaekkhnklangxyangchawyuorpinkhwamphyayamerngrdihphraoxrskhxngphrarachininathribkhunsubbllngkaethnepn phraecaradamathi 2 ecachayhnumnnimthrngehndwykbphraraochbayhlayeruxngkhxngphrarachchnni aelaecachaythrngoxnxxniptamkhxesnxkhxngfrngessthicakhxpraoychncakkarichsxythrphyakrbnekaa tamkhxtklnginthidaeninkarody phuaethnkhxngfrngessinpikh s 1855 aetaephnkarrthpraharkhxngfrngessnnlmehlw aelaecachayradamakimidkhrxngrachbllngk cnkrathngkh s 1861 emuxsmedcphrarachininathrnfalunathi 1 esdcswrrkhtdwyphrachnmayu 83 phrrsa chawyuorprwmsmypranamnoybaykhxngsmedcphrarachininathrnfalunathi 1 aelarabuwaphranangthrngepncxmephdckaraelabakhlngxyangelwray thsnkhtitxphrananginaenglbehlaniyngkhngpraktxyuinwrrnkrrmtangchaticnkrathngthungchwngplaykhristthswrrsthi 1970 inkarwicylasudidmxngthsnkhtitxphrananginmumihmwa karkrathakhxngphranangrnfalunathi 1 nn epnkarkrathaipinthanasmedcphrarachininaththiphyayamkhyaykhxbekhtkhxngrachxanackr odythrngpkpxngxanacxthipitykhxngchawmalakasi txtankarrukranthangwthnthrrmaelaxiththiphlthangkaremuxngkhxngmhaxanacyuorpchwngtnphrachnmchiphecahyingramaow prawutiinpikh s 1778 thitahnkin rayathang 16 kiolemtr thangtawnxxkkhxngxntananariow epnphrarachthidainecachayxnedriynthsaramncakakbecahyingraobodxnedriynaethmop emuxecahyingramaowyngthrngphraeyaw phrabidakhxngphranangidthuletuxnphraecaxnedriynnamobxiniemrina khrxngrachykh s 1787 1810 thungkarwangaephnlxbplngphrachnmkhxng phuepnphrapitulakhxngkstriy sungthrngthukphraecaxnedriynnamobxiniemrinapldcakrachbllngkthiemuxng dngnnephuxtxbaethnthichwyphrachnmchiphphraxngkhiw phraecaxnedriynnamobxiniemrinacungthrngcdphithihmnaelaesksmrsecahyingramaowihkbphraoxrskhxngphraxngkhkhux ecachayradama phusungkstriythrngtngihepnxngkhrchthayath nxkcakniphraxngkhthrngprakaswathayathkhxngkhusmrsthngsxngnicaidkhunsubrachbllngktxcakecachayradama aemwacathrngykyxngecahyingramaowkhuninthanaphrachayaexk aetecahyingkimichphrachayathiecachayradamathrngoprdpran aelathngsxngphraxngkhimthrngmiphraoxrsthidarwmkn cnkrathngphraecaxnedriynnamobxiniemrinaswrrkhtinpi kh s 1810 phraecaradamathi 1 cungkhrxngrachysubtxphrarachbida aelatampraephnikhxngrachwngskhuxtxngmikarpraharchiwityatiwngstangthixackradangkraeduxng phraecaradamathi 1 thrngmiphrarachoxngkarihpraharphrayatiwngskhxngsmedcphrarachiniramaow ehtukarnnithaihthngsxngphraxngkhmikhwamsmphnththielwraylng smedcphrarachiniramaowimthrngmikhwamsukhkbphrachnmchiphsmrsthiirsungkhwamrk smedcphrarachiniramaowphuthukthxdthingaelaehlakharachbripharhyingcungthrngichewlathngwninkarsnthnaaeladumehlarmkbmichchnnari aelaehlakhnamichchnnarithibanphkkhxngkriffiths karesdceyuxnphbpakbkriffithshlaykhrngnithaihekidkhwamsmphnthchnthmitrsubtxipxikthungsamsibpi subrachbllngk emuxphraecaradamathi 1 esdcswrrkhtodythiimmithayath caksaaehrkrachwngsemrinathrngmiphraoxrs 1 phraxngkhaelaphrathida 1 phraxngkhthiprasutiaetphramehsirxngkhux sinphrachnm kh s 1866 idaek ecachayxitsimanedriymobowka 1823 1824 aelaecahyingraekhtaka rasanakhinimncaka 1824 1828 ecachaywy 1 phrrsannthuklxbplngphrachnmody smedcphraphnpihlwngramoblamaosxnodr phraxyyikakhxngphraxngkhinpi kh s 1824 sungphranangimtxngkarihechuxsaychnephasakalawathangfngphrarachinirasaliom khunkhrxngrachy aelasrangxiththiphltxtanphranang swnecahyingraekhtaka rasanakhinimncaka wy 4 phrrsa sungidrbkarsthapnaepnrchthayath khadwathrngthuklxbplngphrachnmhlngcakphrarachbidaswrrkhtechnkn dngnnphraecaradamathi 1 cungswrrkhtodyirthayathinwnthi 27 krkdakhm kh s 1828 tamkdmnethiyrbal rchthayathphumisiththiinrachbllngkkhux ecachayraokoteb 1808 1828 phraoxrsxngkhotinecahyingraobodsahxnda 1790 1828 phraechsthphkhiniinphraecaradamathi 1 sungsiththikhxngecachayidrbkarsnbsnuncaksmedcphraphnpihlwng phuepnphrarachxyyika ecachayraokotebthrngepnphuechliywchladaelamixthyasydi aelaepnnkeriynkhnaerkinkhxngmadakskarthikxtngodyinkrungxntananariow thitngkhuninekhtphrarachwng phraecaradamathi 1 esdcswrrkhtodythrngfakfngkharachsanksxngkhnthithrngiwwangphrathyihsnbsnunkarkhrxngrachykhxngecachayraokoteb aetkharachbripharsxngkhnnnlngelthicaprakaskhawkarswrrkhtkhxngkstriyepnewlananhlaywn enuxngcakphwkekhaklwkartxbotcakstrukhxngkstriy thimisiththisubthxdrachbllngktxcakphraecaradamathi 1 inchwngni kharachbripharkhnhnung sungepnnaythharradbsung thichuxwa xnedriymmba idthrabkhwamcring aelarwmwangaephnkbkharachkarthithrngxanackhnxun idaek xnedriymihaca irniochari aelarawaolthsalama inkarwangaephnsnbsnunihsmedcphrarachiniramaowkhunkhrxngbllngk ephuxchingxanackxnklumkhxngecachayraokotebaelasmedcphraphnpihlwngramoblamaosxnodr sungsmedcphrarachiniramaowinkhnannimidthrngmiphrarachxanacmakmay smedcphrarachininathrnfalunathi 1 aelaecachayraokot phrarachoxrs ehlakharachkarklumniidribnaphasmedcphrarachiniramaowaelaphrashayiphlbsxnyngsthanthithiplxdphy caknnkharachkarklumniidribernghakalngsnbsnuncakklumxanacphuthrngxiththiphltang rwmthungklumkhnatulakaraelaphurksa Sampy ekhruxngrangpracarachwngs odyribdaeninkarkxnklumkhxngecachayraokotebaelasmedcphraphnpihlwngramoblamaosxnodr ehlakharachkaridrwbrwmkalngphlephuxsmedcphrarachiniramaow dngnninwnthi 11 singhakhm kh s 1828 phranangthrngprakasphraxngkhexnginthanaphusubrachsnttiwngskhxngphraecaradamathi 1 aelathrngxangwaepniptamphrabrmrachoxngkarkhxngphraecaradama sungimthaihekidkraaestxtan smedcphrarachiniramaowthrngeluxkichphranamwa rnfaluna Ranavalona aeplwa pkkhlum hrux ekbiw caknnthrngptibtitamphrarachpraephniobranxyangthnthiodythrngmiphrarbsngihcbkumstruthangkaremuxngthnghlay sungswnihyepnphrabrmwngsanuwngskhxngphraecaradamathi 1 aelathrngsngpraharchiwitinthnthi phusinphrachnmidaek ecachayraokoteb smedcphraphnpihlwngramoblamaosxnodr xditphrasssukhxngphranang ecahyingraobodsahxnda phraechsthphkhiniinkstriyxngkhkxn sungepnphrachnniinecachayraokoteb rwmthungthrngsngpraharphraxnucha phraechsthphkhiniaelaphrakhnisthakhxngphraecaradamathi 1 ekuxbthukphraxngkhthithrngehnwaepnphytxrachbllngk thrngthaechnnikbphrarachtrakulsayxditphraswamiephraathrngtxngkaraekaekhnkbsingthiphraecaradathi 1 thrngekhysngkhalangphrarachtrakulsaykhxngphranang nisinsudlngemux smedcphrarachininathrnfalunathrngprakxbphrarachphithirachaphieskinwnthi 12 mithunayn kh s 1829 cakkarsubrachbllngktxcakphraswami thaihsmedcphrarachininathrnfalunathrngepnphrapramukhstriphraxngkhaerkaehngrachxanackremrina nbtngaetkxtnginpikh s 1540 karkawkhunsuphrarachxanackhxngphranangekidkhunthamklangsphaphsngkhmthichunchxbphuchaymakkwaphuhyinginthangkaremuxng inwthnthrrmdngedimkhxngxiemrina phupkkhrxngcaidrbkarykyxngxyangepnphiessdwyxanacthicatxngsamarthprbepliynidodyhlikeliyngcakkrxbbrrthdthanaelathrrmeniymthithukkahndiw ehlaphupkkhrxngmkcaprbepliynrupaebbkhxngxanacphankarsrangrupaebbkarekiywdxngthangekhruxyatiaebbihm sungepnphunthandngedimkhxngraebiybthangkaremuxng xyangirktamphuhyingmikhwamekiywkhxngkbsthabnkhrxbkhrw sungepnhnwykhwamsmphnththiaekhngaekrngaelacaepnsingthixyutrngkhamkbkarichbthbathaelaxanacinthanapramukh aelaphuhyingthukmxngwaimehmaasmthicakhunmapkkhrxngpraeths aemwakarmipramukhstrikhrnghnungcaekhyepneruxngpktiinhmuphwk sungepnklumthithukxthibayiwwaepnphuxasydngediminekaamadakskar praephniphupkkhrxngstrisinsudlnginthirabsungphakhklanginrchkalkhxng 1540 1575 kstriyphukxtngrachxanackremrina phraxngkhthrngsubrachbllngktxcakphrarachchnnisungepnchawwasimbakhux smedcphrarachininathrafxihaehngxaraosra 1530 1540 hlngcaknnkimmipramukhstrixik cnlwngmathungsmedcphrarachininathrnfalunathi 1rchkalsmedcphrarachinirnfalunaprathbnngbnfilansana filanzana ekiyw naesdcodyecachayraokotsungkalngthrngmaxyu aelatidtamdwyehlathharaelathas rayaewlarchkal 33 pikhxngsmedcphrarachininathrnfaluna idthukrabuwaepnrchkalthrngphyayamesrimsrangphrarachxanacinpraethskhxngrachxanackremrina dwykarkarabaekhwntang aelapkpxngxanacxthipitythangkaremuxngaelawthnthrrmkhxngmadakskar noybayehlanithukkahndcakbribthkarephimkhunkhxngxiththiphlmhaxanacyuorpphayinrachxanackr aelaekidkaraekhngkhndanxiththiphlknrahwangfrngessaelaxngkvsehnuxekaaaehngni chwngtnrchkal smedcphrarachininaththrngdaeninkartamladbkhnephuxihmadakskarthxyhakcakmummxngkhxngyuorp prakaraerk thrngyutisnthisyyamitrphaphkbxngkvs caknnthrngwangkhxcakdaekkarephyaephrsasnakhxngihmakkhun sungsmakhmnidaeninkarsxndankarsuksakhnphunthanaelakarsuksadankarkha nxkcaknnyngsxnekiywkb inpikh s 1835 smedcphrarachininathprakashamihmikarprakxbphithikrrmtamhlkkhristsasnainhmuchawmalakasi aelaphayinhnungpi chawtangchatithnghmdidedinthangxxkcakrachxanackrkhxngphranangesiysin smedcphrarachininathrnfalunathrngdaeninnoybayphungphatnexngxyangtxenuxng dwykarykeliksnthisyyathangkarkhakbtangpraethsekuxbthnghmd thrngyudmninnoybaytamaebbobranthieriykwa rabbfanxmopxana fanompoana hrux rabbaerngnganeknth epnkarbngkhbichaerngnganephuxaethnkarcayphasiinrupaebbenginhruxsinkha smedcphrarachininathrnfalunathrngdaeninnoybaysngkhramkhyayxanaekht txcakrchkalkxn khux phraecaradamathi 1 sungthrngphyayamkhyayxanackhrxbkhlumthngekaa aelathrnglngothsxyanghnktxphuthithrngmxngwakrathakartxtanphrarachprasngkhkhxngphranang yuththkarthangkarthharkhxngphranangnamasungkarsuyesiychiwitprachachntlxdrayaewlahlaypi rwmthungmixtrakartayinhmuaerngnganfanxmopxanasungmak aelakaresiychiwitcakrabbyutithrrmtamcaritpraephnikhxngphranangthirunaerng thaihcanwnprachakrkhxngmadakskarldlngcakcanwnpraman 5 lankhn ehluxpraman 2 5 lankhn inchwngpikh s 1833 aela 1839 aelainrachxanackremrinaexng prachakrldlngcak 750 000 khn ehlux 130 000 khn inrxbpikh s 1829 thungkh s 1842 dwysthitiehlanithaihbnthukprawtisastrcanwnmakkhxnkhangcabnthukipinechingtxtanrchkalsmedcphrarachininathrnfalunaepnswnihy rthbal smedcphrarachininathrnfalunathi 1 thrngsrangthaptykrrmkhnadihythi phrarachwngthacakim mumkhwabninphaph eriykwa phratahnkmncakamixadana sunginphayhlngmikarichhinpidthblxmrxbxakharim inrchsmysmedcphrarachininathrnfalunathi 2 tamobranrachpraephnithisubtxmacakphramhakstriyemrinainrchkalkxn smedcphrarachininathcathrngpkkhrxngpraethscaksunyklangthiphrarachwng inchwngrahwangpi kh s 1839 thung 1842 epnphudaeninkarsrangphratahnkihmkhxngsmedcphrarachininaththimichuxwa mncakamixadana Manjakamiadana sungepnxakharthiihythisudthithuksranginekhtruwa phratahnksrangkhuncakimekuxbthnghmdaelasrangtamrupaebbkhxngchawemrina chnchn Andriana chnchnsung sungepnsthaptykrrmthimikarichesahlk Andry xndri ephuxrxngrbhlngkha nxkehnuxcaknimikarepidephynwtkrrmaebbyuorpekhamadwy kkhuxepnkarsrangxakharsamchnlxmrxbdwyraebiyngim aelamikarsranghnatangiwrwmkbmunghlngkha txmaphrarachwngthuktidkhlumphaynxkdwyhininpikh s 1867 odycaksmakhmmichchnnarilxndxninchwngrchsmykhxng phrarachwngedimthisrangcakimkhxngsmedcphrarachinirnfalunathi 1 rwmthungxakharekuxbthnghmdkhxngekhtwngruwaidthukephlingihmthalayipinpikh s 1995 khngehluxaetepluxknxkxakharthiepnhinthiyngkhngtngoddednxyucnpccubn hlaykhnihkaryxmrbwa karpkkhrxngkhxngsmedcphrarachininathrnfalunannepnkarsantxaenwnoybaykhxngphraecaradamathi 1 phramhakstriythngsxngphraxngkhthrngsnbsnunethkhonolyiihmaelaxngkhkhwamrucaktangchati ephuxsnbsnunaenwnoybaykarthaihesrsthkicepnaebbxutsahkrrm aelarbmatrthankarsrangkxngthphihmilksnaepnthharxachiph aetthngsxngphraxngkhmikhwamkhidehnthitrngknkhamknineruxngchawtangchati mikarsrangkhwamsmphnthswntwaelamikarichkhwamkhidkhwamrukhwamchanaykhxngphwkekhaihepnpraoychn inkhnathimitngkhxcakdtangaekchawtangchatiehlaniephuxhlikeliyngkhwamepliynaeplngthangkaremuxngaelawthnthrrmthixacekidkhunxnsngphlkrathbtxkhwammnkhng nxkcakniphramhakstriythngsxngphraxngkhmiswnekiywkhxnginkarrierimphthnarabbrachkarihmikhwamsbsxn sungthaihrachsankemrinasamarthkhwbkhumaekhwntangthixyuhangiklrxbekaaidthimixanaekhtihykwapraethsfrngessaephndinihy smedcphrarachininathrnfalunathi 1 thrngsamarthrksapraephnikarpkkhrxngiddwykarsnbsnuncakehlakhnathipruksathiswnihymacakklumkhnchnchnkhunnang esnabdi hrux rthmntrithimixanacmakthisudkhux khuxphiesksmrskhxngphranangexng prathankhnathipruksakhnaerkkhxngphranangkhuxnaythharhnumcak thichuxwa xnedriymihaca sungiddarngtaaehnngepn xkhrmhaesnabdi tngaetpikh s 1829 thung 1830 phltrixnedriymihacathukechuxwaepnbidathiaethcringkhxngphrarachoxrsxngkhediywinphrarachini khux ecachayraokot txmakhux phraecaradamathi 2 sungprasutikhunhlngcakphrabidatamkdhmaykhux phraecaradamathi 1 swrrkhtipaelw 11 eduxn inchwngtnrchkalkhxngsmedcphrarachininathrnfalunathi 1 xnedriymihacaepnphunafayhwkawhnainrachsank sungepnfaythitxngkarihkhngkhwamsmphnthxndikbpraethsinyuorptngaetsmyphraecaradamathi 1 swnfayxnurksniymnaodysxngphinxng khux irnimahaor aelairnihaor irnihaor phunxngkhnniepnphudarngtaaehnngecaphnknganphurksa Sampy ekhruxngrangpracarachwngs sungepntaaehnngthimixiththiphlsungmak ekhruxngrangpracarachwngsxnnithukechuxwaepnsingrwbrwmaelaepnthangphankhxngphlngxanacehnuxthrrmchatithnghlaykhxngaetlarchkal aelaekhruxngrangnimibthbathhlktxcitwiyyankhxngprachachnchawemrinathisubenuxngmatngaetrchkalkhxnginkhriststwrrsthi 16 fayxnurksniymphyayamldthxnxanackhxngaenwkhidhwkawhnakhxngxnedrinmihacathimixiththiphlehnuxsmedcphrarachininath aelaineduxnknyayn kh s 1830 fayxnurksniymphyayamonmnawcnsmedcphrarachininathhlngechuxinkhxklawhatxxnedriymihaca phrananglngphraprmaphiithyinkhasngpraharchiwitxnedriymihacainkhxhakrathakarichewthmntrkhathaaelakhxhakbt ekhathukcbkumtwthiphankinthnthiaelathuksnghar hlngmrnkrrmkhxngxnedriymihaca xiththiphlkhxngklumkaremuxngekahwkawhnathimixanacinrchsmykhxngphraecaradamathi 1 idthukldthxnkhwamsakhylng aethnthidwykhnathipruksafayxnurksniyminrachsank sungiklchidsmedcphrarachininathmakkhun inthisudmikarcdphithixphiesksmrsthangkaremuxngrahwangsmedcphrarachininathrnfalunakbirnihaor ecaphnknganphurksasmpi aelaidkhunmaepnphunafayxnurksniym cxmphlirnihaoraehngeninekhaxilafi Ilafy ekhamkthukeriykchuxwa raowninahithrinixariow inpikh s 1833 irnihaoredimidekhasurachsankephraakhwamdikhwamchxbkhxngbidakhxngekha bidakhxngekhakhux xnedriynthsilaownanedriyna epnkhnchnchn Hova samychn sungidrbsiththiphiessehnuxprachachnkhnthrrmdainkarekharwmkbkhnakhunnangthipruksakhxngphraecaxnedriynnamobxiniemrina kstriyinsxngrchkalkxn cxmphlirnihaoriddarngtaaehnngxkhrmhaesnabdiinsmedcphrarachininathinpikh s 1830 thung 1832 aelatxmaidepntaaehnngnaykrthmntri rwmthungphubychakarthhar inpikh s 1832 thung 1852 txmaemuxirnihaorthungaekxsykrrm smedcphrarachininathrnfalunathrngxphiesksmrsihmkbfayxnurksniymxikkhnhnung khux cxmphlxnedriynisa mkthukeriykchuxwa irniochari sungepnphraswamikhxngphrarachinieruxymacnkrathngphranangswrrkhtinpikh s 1861 aelaekhadarngtaaehnngepnnaykrthmntriinpikh s 1852 thung 1862 kxnthicathukenrethsipyng emuxnghlwngeka cakkhxhamiswnekiywkhxnginkarwangaephntxtanphramhakstriyxngkhihm khux phraecaradamathi 2 tamthrrmeniym pramukhemrinacaphungpharabbthxykhaaethlng Kabary khasunthrphcn inkaresdcxxkmhasmakhmepnnoybayinkarekhathungprachachnaelayunynkhwamsmphnthrahwangpramukhaelaprachachn enuxngcaksmedcphrarachininathrnfalunathi 1 thrngkhadprasbkarninkarmiphrarachdarsinthisatharnaaelakhadprasbkarnthangkaremuxng phranangthrngoprdthicasngkaraelaaecngkharachbripharphanthangkarekhiynhnngsuxaelacdhmay sungthrngidrbkarsxnwithikarekhiyncakkhnamichchnnari phranangthrngphyayamesrimsrangkhwamsmphnthkbprachachndwykarxxkmhasmakhmkhabariinaetlaoxkas aelathrngphyayamptibtitampraephnidngedimkhxngpramukhemrinainthanaphuprathan Hasina phrcakbrrphburus odykarepnphuprakxbphrarachpraephniaebbdngedim rwmthungphithi Fandroana phithikrrmtxayupiihm thimikarprakxbyykrrmbuchaphaphaethnphrarachwngs aelathwayekhruxngkanl vodiondry aelaxaharpraephthenuxthieriykwa innganpraephnitang smedcphrarachininathrnfalunathrngrierimphithikrrmaebbdngedimehlaniodythrngephimkhntxnihsbsxnmakkhunaelaephimnysylksnephuxihmikhwamsakhyaelasrangkhwamskdisiththimakkhunkarfunfuaelakarprabpraminphrarachphithikhrxngrachsmbtinn phrarachinirnfalunathrngihstysabanwacasnbsnunphithikrrmdngedimaelakhwamechuxekaaek aelapxngknkhxbekhtrachxanackrkhxngphranang inrchsmykhxngphraecaramadathrngerimkarthnsmyaelaphuksmphnthkbchawtawntk aetinrchsmyphrarachinirnfalunathrngrierimklumnayhnaekaechn bathhlwng phuphiphaksa phxkhathas idkarkhwbkhumklbmasungidrbkarsnbsnuncakkxngthphemrina inwnthiphranangprakxbrachiphiesknn phranangthrngsngpraharchiwitphrayatiiklchidkbphranangthnthithung 7 khnepnkarexavks tamrayngankhxngkhnamichchnnarixngkvsidrabuwaphranangthrngsngihpraharphrayatifayphraswamithnghmd rwmthngechuxphrawngsthukphraxngkhthimisiththiinkarkhrxngrachy enuxngcakphraecaramadathrngphuksmphnthkbxngkvs aelaphranangthaihkarkhathasepnsingthithukkdhmay phranangthrngmiwithikarphisucnkhwambrisuththikhxngphuthukklawhakhux ihphuthukklawhadumyaphisekhaipaelwrxdchiwit cathuxwaepnphubrisuththiaelacaidrbenginthakhwy khwamhwadklwchawtangchatiaelakaretuxnekiywkbxananikhmyuorp phranangthrngsngpraharchiwitchawtangchatithukkhnodyechphaachawxngkvsthiphranangekliydchngxyangmak thrngpraharchiwitchawphunemuxngthithuxsychatixngkvshruxepnlukphsmrahwangchnphunemuxngkbchawxngkvsodythnthi aemaetkhnamichchnnarikimlaewnthukkhbilxxkipcakmadakskar phranangthrngxxkkdhmaylngothskhnpraharchiwitphuthibngxacephyaephrsasnakhristkarillachawkhrisetiynphrarachinirnfalunathrngepnphuprahtpraharchawkhrisetiynthibrisuththihlngcakkarkhbilkhnamichchnnarixxkcakekaaaetphranangthrnglmehlwinkarkwadlangsasnakhristinpraethsihhmdsin prachachnthukkhnthikhrxbkhrxngkhmphiribebilaelaprakasepnkhristsasnikchncathukpraharthnghmd bangthukcbtrungehmuxnikaelaoyncakyxdeninekhahlaykhrngcnkwacatay khnxunthukraddwyeluxdaelaihfungsunkhparumkinthngepn bangthukxawuythiepnolhaaebnesiybthaluekhaipinkraduksnhlnghlayaephncnkwacatay bangkhnxacthuktitaykxnthicatdhwesiybpracan bangthukcblngepninnathitmeduxd bangkhnthukcbnxnaelwihhinklinglngmathb hnunginwithipraharthiphranangrnfalunathrngoprdpranthisudkhux karihdumyaphis hruximkkhayihepnthas saehtuthithrngekliydchngsasnakhristkhux phranangthrngimchxbphvtikrrmkhxngchawkhrist phwkekhaswdepnpracaaetptiesththicaekharphphraecakhxngphranang phwkekhahlikeliyngkarbuchaethwrup phwkekharwmtwknskkaraxyangsasak phranangthrngkriwmakemuxchawkhristokrthaekhnthiphranangpraharchawkhristthung 1 600 khn idphyayamyudbllngk phranangthrngaekaekhndwykaraekhwnphunakhrisetiyn 15 khndwyechuxkyaw 150 futehnuxchxnghininhubekhakhangphrarachwng odythrngthamwacanbthuxsasnakhristhruxphraecakhxngrachini ehlaphunatxbptiesth echuxkcungthuktd bangkhnswdklxnsasnakxnthirangcalngipkraaethkkbkxnhinthixyuebuxnglang pccubnthinnkhuxsalecaximphrxmtulabxrdchxng labxrd frngesssungidrbbangekaakhxngmadakskar idsnicthicakhrxbkhrxngmadakskar karekhluxnihwnnekudkartxtancakxngkvssungsnicesnthanghlkinkaredinthangipxinediy dwykarlmeliksnthisyyaxngkvs emrina xyangirktamphranangrnfalunakhidwaxacthrngthukthalayidngayodyxngkvsinewlaimnan phranangthrngkhbilkarocmtikhxngfrngessthifwphxyninpiph s 2372 aetphranangthrngxyuincudyunthixntray ekhraahdikhxngphranangthithrngidrbkarchwyehluxemuxsungeruxxppangthimadakskarinpiph s 2375 labxrdidihkhaaenanaaekphranangaelaidnayhnaphlitpunihy punkhabsilaaeladinpun ekhaidkalngaerngngankhnaelawtthudibsahrbsrangxutsahkrrmephuxphthnakxngthphihthnsmy srangxisrphaphaekrachxanackrcakxawuthxananikhmaephnkarlbxida ifefxr phuekhiyneruxng karedinthangsumadakskar Reise nach Madagasgar ethxidbrryaythungkarthrmanchawkhristkhxngphrarachiniidlaexiydthisud phraoxrskhxngphranangecachayraokot prasutiinpiph s 2372 aelaphrabidatamkahmaykhxngphraxngkhkhux phraecaradamathi 1 phusungswrrkhtmanankwa 9 eduxnkxnthiphraxngkhprasuti xyangirktamthrrmeniymobrankahndihepnphraoxrskhxngphraecaradama labxrdsnithkbphraxngkhmakaelaihkarsuksaaekphraxngkh karephimkhunkhxngkhwamekliydchngtlxdrchkalkhxngphrarachinirahwangmadakskarkbyuorp idhathangchwychawfrngessinpraeths ekhaidedinthangmainrachsankkhxngphranangineduxnphvsphakhm ph s 2400 aelaidwangaephnkarlbkblabxrdaelaphunathxngthinephuxokhnrachbllngkkhxngphranangaelaxyechiyecachayraokotkhrxngrachytx nkthxngethiywrxbolk idekharwmaephnkarxyangimectna aetaephnkarnirwihl phranangsngpraharphunathxngthinthnghmdaelasnghamchawyuorpekhama phrarachinirnfalunathrngimsngharchawyuorpenuxngcakthrngklwkaraekaekhn ekidorkhrabadinmadakskarchawyuorphlaykhnlmtay xida ifefxrimidrbkarrksaaelaesiychiwitdwyikhmalaeriyesdcswrrkhtphraecaradamathi 2 aehngmadakskar rahwangpisudthaykhxngkarkhrxngrachykhxngphranang thrngkngwltxkarkhyaykhxnglththickrwrrdiniymtawntkinaexfrikaaelaexechiy sungimyxmrbkarkhathas phranangyngkhngrksakhwamohdehiymkhxngphranangaelatxngkarrksarabbkhathasiw smedcphrarachinirnfalunathi 1 esdcswrrkhtxyangsngbinwnthi 16 singhakhm ph s 2404 hlngcakthrngpkkhrxngpraethsyawnanthung 33 pi thamklangkhwamolngxkkhxngphsknikr xngkvsaelafrngessthasyyarwmkn frngessekhakhrxbkhrxngekaaniklayepndinaedninxantikhxngfrngessaelakarkhathasidthuklmelikxyangsmburn dwykarepidkhlxngsuexsinpiph s 2412 xngkvssnicthicakhbilfrngessthikalngthrudtwxxkcakmadakskar phraoxrskhxngphranang ecachayraokotidkhrxngrachytxepn phraecaradamathi 2 aehngmadakskarxangxing khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2017 08 03 subkhnemux 2018 02 11 Campbell 2012 p 713 Campbell 2012 p 1078 Academie malgache 1958 p 375 Freeman and Johns 1840 pp 7 17 Campbell 2012 p 51 Royal Ark Royal Ark Oliver 1886 pp 42 45 Rasoamiaramanana Micheline 1989 1990 Rainijohary un homme politique meconnu 1793 1881 Omaly sy Anio phasafrngess 29 32 287 305 Ellis 1838 pp 421 422 Berg Gerald 1995 Writing Ideology Ranavalona the Ancestral Bureaucrat History in Africa 22 73 92 doi 10 2307 3171909 JSTOR 3171909 Bloch 1986 p 106 Campbell 2012 pp 185 186 Campbell Gwyn October 1991 The state and pre colonial demographic history the case of nineteenth century Madagascar Journal of African History 23 3 415 445 Laidler 2005 L habitation a Madagascar 1898 pp 920 923 Fremigacci 1999 p 427 Ade Ajayi 1989 p 423 Oliver 1886 pp 45 47 Freeman and Johns 1840 pp 17 22 Prout 1863 p 14xangxingAcademie malgache Collection de documents concernant Madagascar et les pays voisins Volume 4 Part 4 phasafrngess Antananarivo Imprimerie Moderne de l Emyrne Ade Ajayi Jacob Festus 1989 Africa in the Nineteenth Century until the 1880s Paris UNESCO ISBN 978 0 520 03917 9 Andrew David Blond Becca Parkinson Tom Anderson Aaron 2008 Lonely Planet Madagascar amp Comoros London Lonely Planet ISBN 978 1 74104 608 3 Bloch Maurice 1986 From blessing to violence history and ideology in the circumcision ritual of the Merina of Madagascar Cambridge UK Cambridge University Press ISBN 978 0 521 31404 6 Campbell Gwyn 2012 David Griffiths and the Missionary History of Madagascar Leiden The Netherlands Brill ISBN 978 90 04 20980 0 Cole Jennifer 2001 Forget Colonialism Sacrifice and the Art of Memory in Madagascar Berkeley CA University of California Press ISBN 978 0 520 92682 0 Ellis William 1838 Volume 2 of History of Madagascar Comprising Also the Progress of the Christian Mission Established in 1818 London Fisher Son amp Co Ellis William 1870 The Martyr Church London J Snow Freeman Joseph John Johns David 1840 A narrative of the persecution of the Christians in Madagascar with details of the escape of six Christian refugees now in England Berlin J Snow subkhnemux February 5 2011 Fremigacci Jean 1999 Le Rova de Tananarive Destruction d un lieu saint ou constitution d une reference identitaire in Chretien Jean Pierre b k Histoire d Afrique phasafrngess Paris Editions Karthala pp 421 444 ISBN 978 2 86537 904 0 Koschorko Klaus Ludwig Frieder Delgado Mariano 2007 A history of Christianity in Asia Africa and Latin America 1450 1990 Cambridge U K Wm B Eerdmans Publishing Co ISBN 978 0 8028 2889 7 Laidler Keith 2005 Female Caligula Ranavalona the Mad Queen of Madagascar London John Wiley amp Sons ISBN 978 0 470 02226 9 L habitation a Madagascar Colonie de Madagascar Notes reconnaissances et explorations phasafrngess Vol 4 Imprimerie Officielle de Tananarive 1898 MacDonald Fraser George 1977 Flashman s Lady London Collins ISBN 978 0 00 744949 1 Oliver Samuel 1886 Madagascar An Historical and Descriptive Account of the Island and its Former Dependencies Vol 1 New York Macmillan and Co Pfeiffer Ida 1861 The last travels of Ida Pfeiffer inclusive of a visit to Madagascar London Harper Prout Ebenezer 1863 Madagascar Its Mission and Its Martyrs London London Missionary Society Raison Jourde Francoise 1991 Bible et pouvoir a Madagascar au XIXe siecle Antananarivo Karthala Editions ISBN 978 2 86537 317 8 Ralibera Daniel De Taffin Gabriel 1993 Madagascar et le christianisme phasafrngess Paris Karthala Editions ISBN 978 92 9028 211 2 Sharp Leslie 2002 The Sacrificed Generation Youth History and the Colonized Mind in Madagascar Berkeley CA University of California Press ISBN 0 520 22951 7 Meanings in Madagascar by Oyvind and Yvind Dahl lingkesiy Madagascar Rediscovered by Mervin Brown kxnhna smedcphrarachininathrnfalunathi 1 thdipsmedcphraecaradamathi 1 aehngmadakskar smedcphrarachininathaehngmadakskar rachwngsemrina 3 singhakhm ph s 2371 16 singhakhm ph s 2404 phraecaradamathi 2 aehngmadakskar