พาราซอโรโลฟัส ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: , 76.5–73Ma Possible record | |
---|---|
Parasaurolophus walkeri | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Sauropsida |
อันดับใหญ่: | Dinosauria |
อันดับ: | Ornithischia |
วงศ์: | |
วงศ์ย่อย: | |
สกุล: | Parasaurolophus , 1922 |
ชนิดต้นแบบ | |
†Parasaurolophus walkeri Parks, 1922 | |
ชนิด | |
| |
ชื่อพ้อง | |
|
พาราซอโรโลฟัส (อังกฤษ: Parasaurolophus) ชื่อของมันหมายความว่า "คล้ายกิ้งก่าหงอน" ซึ่งในเวลานั้นมีการค้นพบไดโนเสาร์ตระกูลเดียวกันมาก่อนแล้วอย่างเจ้าซอโรโลฟัสและชื่อมันก็แปลว่า "กิ้งก่าหงอน" พาราซอโรโลฟัสจึงถูกตั้งชื่อตามญาติห่างๆของมันไปด้วยเลย พาราซอโรโลฟัสเป็นไดโนเสาร์วงศ์ (ไดโนเสาร์ปากเป็ด) ประเภทกินพืช อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือและเอเชียเมื่อปลายยุคครีเทเชียส ประมาณ 76 - 73 ล้านปีก่อน มันเป็นสัตว์กินพืชที่สามารถเดินได้ทั้ง 2 ขาและ 4 ขา แต่ส่วนใหญ่จะเดิน 4 ขา ณ เวลานี้มีการค้นพบสปีชีส์ที่แน่นอนของมันอยู่ทั้งหมด 3 สปีชีส์ ก็คือ P. walkeri P. tubican และ P. cyrtocristatus ตอนนี้ยังมีการนำเสนอสปีชีส์ที่ 4 อยู่นั่นก็คือ P. jiayensis แต่ก็ยังมีทฤษฎีที่ว่าสปีชีส์นี้คือ อยู่ จึงอาจจะยังไม่เป็นที่ยอมรับกันสักเท่าไร ซากฟอสซิลที่รู้จักกันเป็นอย่างดีถูกค้นพบที่ รัฐอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา และ รัฐนิวเม็กซิโกกับรัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยพาราซอโรโลฟัสถูกนำเสนอชื่อขึ้นในปี 1922 โดยนักธรณีวิทยาชาวแคนาดา จากการค้นพบกะโหลกศีรษะและโครงกระดูกบางส่วนที่รัฐอัลเบอร์ตา
พาราซอโรโลฟัสเป็นขนาดใหญ่โดยมีขนาดอยู่ที่ 8 - 10 เมตร ลักษณเด่นของมันก็คือ มีหงอนยาวขนาดใหญ่อยู่บนหัวเพื่อใช้ในการสื่อสารแต่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ก็มีนักบรรพชีวินวิทยาหลายคนได้นำเสนอไว้ว่าหงอนบนหัวของมันสามรถใช้ในการสื่อสารหรือส่งเสียงร้องเพื่อใช้ในการข่มขู่ศัตรูและเรียกคู่ ซึ่งบางทฤษฎีได้เสนอว่า มันอาจจะใช้ในได้ด้วย แต่ทฤษฎีหลายๆ ทฤษฎีจะนำเสนอว่าหงอนของพวกมันสามารถใช้ในการระบุเพศผู้เพศเมียได้ ซึ่งนั่นก็เป็นลักษณะเด่นของนกและกิ้งก่าโดยทั่วไปอยู่แล้วอีกด้วย
ลักษณะเด่นและรายละเอียด
เช่นเดียวกันกับไดโนเสาร์ส่วนใหญ่ ฟอสซิลส่วนใหญ่ของเจ้าพาราซอโรโลฟัสยังไม่สมบูรณ์ ตอนนี้ฟอสซิลของมันทั้งหมดนั้นถูกค้นพบได้ประมาณ 80% แล้ว วึ่งถือว่าค่อนข้างสมบูรณ์เลยทีเดียว ขนาดของมันถูกประมาณไว้ที่ 8.56 - 9.45 เมตร โดยมีน้ำหนักประมาณ 2 ตัน แต่ Gregory S. Paul นักบรรพชีวินวิทยาได้ใช้หลักการของ Allometry ซึ่งได้น้ำหนักออกมาประมาณ 5 ตัน กะโหลกของพาราซอโรโลฟัสมีขนาดประมาณ 1.6 เมตร เป็นการวัดขนาดที่รวมหงอนของพวกมันด้วยแล้ว ขาหน้าของมันค่อนข้างสั้นและมีขาหลังที่ยาวเช่นเดียวกันกับไดโนเสาร์ในวงศ์ตัวอื่นๆ เพราะเหตุนี้จึงทำให้มันสามารถยืน 2 ขาได้ มันจึงสามารถกินยอดไม้จากปลายกิ่งไม้ ที่ไดโนเสาร์บางชนิดไม่สามารถเอื้อมไปกินถึงได้ มันจึงมีข้อได้เปรียบในการกินอาหาร
กะโหลก
ลักษณะเด่นของกะโหลกพาราซอโรโลฟัสแน่นอนว่าต้องเป็นกระดูกที่ยื่นออกมาทางด้านหลังของกะโหลก เป็นหงอนยาวขนาดใหญ่ที่สามารถใช้ในการดึงดูดเพศตรงข้าม และส่งเสียงร้อง กระดูกโพรงจมูกของมันนั้นแยกเป็น 2 ท่อ ยาวจนถึงปลายของหงอนเพราะเหตุนี้จึงทำให้มันสามารถส่งเสียงร้องดังกังวานได้ มีข้อสันนิษฐานที่ว่า พาราซอโรโลฟัสถือเป็นไดโนเสาร์ที่สามารถส่งเสียงร้องดังไปได้ไกลมาก จึงอาจจะทำให้มันเป็นไดโนเสาร์ที่สามารถส่งเสียงร้องดังได้มากที่สุดอีกด้วย แต่ย้ำว่ามันยังเป็นแค่การสันนิษฐานเท่านั้น...
การเจริญเติบโต
ส่วนใหญ่แล้วนักบรรพชีวินวิทยาจะศึกษามันจากซากฟอสซิลของพาราซอโรโลฟัสที่โตเต็มวัยแล้ว ส่วนพวกตัวเล็กหรือตัววัยเด็กได้มีการค้นพบซากฟอสซิลที่สมบูรณ์ในช่วงปี 2009 และได้ถูกบันทึกไว้ในปีนั้นเช่นเดียวกัน โดยมีหมายเลขฟอสซิลคือ RAM 140000 และมันก็มีชื่ออีกด้วย...ชื่อของมันก็คือ Joe มันถูกค้นพบโดยอาสาสมัครที่ โดยมันถูกค้นในการก่อตัวของชั้นหิน Kaiparowits Formation ที่รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เรียกได้ว่าเป็นฟอสซิลที่สมบูรณ์พาราซอโรโลฟัสวัยเยาว์ที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยได้มีการค้นพบมา โดยฟอสซิลมีอายุประมาณ 75 ล้านปี แต่ Joe มีอายุก่อนตายเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น
ลักษณะของ Joe นั้นมีความคล้ายคลึงกับ P. cyrtocristatus อยู่หลายประการ เช่น รูปแบบของหงอนบนหัวที่นูนขึ้นมาเล็กน้อย และรูปทรงของกะโหลกที่ดูคล้ายกันกับพาราซอโรโลฟัสในวงศ์เดียวกัน มากกว่า สปีชีส์อื่น จึงทำให้นักบรรพชีวินวิทยาสามารถสันนิษฐานหน้าตาของพาราซอโรโลฟัสในแต่ละช่วงวัยได้
โดยพาราซอโรโลฟัสในวัยเด็กจะมีหงอนนูนขนาดเล็กอยู่บนหัว พอเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นมันอาจจะมีหงอนที่ไม่มีขนาดใหญ่สักเท่าไร แต่ก็อาจจะยาวจนยื่นไปทางด้านหลังท้ายทอยแล้วพอสมควร แต่ก็ยังเป็นข้อสันนิษฐานกันอยู่ เนื่องจากยังไม่มีการค้นพบซากฟอสซิลของพาราซอโรโลฟัสในวัยรุ่นเลย ส่วนใหญ่จะมีการค้นพบแต่พวกโตเต็มวัยจึงทำได้เพียงแค่สันนิษฐานหน้าตาของมันในช่วงวัยรุ่นเท่านั้น และช่วงวัยสุดท้าย ช่วงโตเต็มวัย ในช่วงวัยนี้พาราซอโรโลฟัสจะมีหงอนขนาดใหญ่อยู่บนหัว และมีสันหลังที่สูงเด่น จึงทำให้มันดูเป็นไดโนเสาร์ที่สง่างามมาก
การจัดจำแนกประเภท
พาราซอโรโลฟัสนั้นเป็นไดโนเสาร์ที่ถูกจัดอยู่ในวงศ์แฮโดรซอริด โดยไดโนเสาร์ในวงศ์นี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 วงศ์ย่อยนั่นก็คือ Saurolopinae (ซอโรโลฟีน) และ Lambeosaurinae (แลมบีโอซอรีน) ซึ่งในตอนแรกนั้นพาราซอโรโลฟัสถูกจัดไว้ว่าเป็นญาติใกล้ชิดกันกับซอโรโลฟัส แต่ในเวลาต่อมามันทั้งสองก็ได้ถูกแยกห่างออกจากกันหลังมีการจัดวงศ์ย่อยให้แฮโดรซอริดใหม่ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยซอโรโลฟัสถูกจัดอยู่ในวงศ์ย่อย ซอโรโลฟีน และพาราซอโรโลฟัสถูกจัดอยู่ในวงศ์ย่อย แลมบีโอซอรีน พวกมันทั้งสองจึงไม่ค่อยเกี่ยวเนื่องกันสักเท่าไรแล้ว
Saurolopinae (ซอโรโลฟีน)
ซอโรโลฟีนนั้นเป็นไดโนเสาร์วงศ์ย่อยของวงศ์ใหญ่อย่าง แฮโดรซอริด โดยที่ไดโนเสาร์วงศ์ย่อยนี้จะมีลักษณะเด่นก็คือ มีจะงอยปากเป็ดอยู่ที่บริเวณปลายปากและมีฟันกรามที่คล้ายแบตเตอรี ที่สามารถงอกได้ตลอดชีวิต นี่คือหนึ่งในความมหัศจรรย์ของไดโนเสาร์วงศ์แฮโดรซอริด และลักษณะเด่นอย่างสุดท้ายของไดโนเสาร์ในวงศ์ย่อยนี้ก็คือ พวกมันไม่มีหงอน และมีทรงกะโหลกที่ยาวแบน ตัวอย่างเช่น ,เอ็ดมอนโตซอรัส,ซอโรโลฟัส
Lambeosaurinae (แลมบีโอซอรีน)
แลมบีโอซอรีนเป็นกลุ่มของไดโนเสาร์วงศ์ย่อยของกลุ่มไดโนเสาร์วงศ์ใหญ่อย่าง แฮโดรซอริด โดยไดโนเสาร์วงศ์ย่อยนี้มีลักษณะที่มีความแตกต่างจากซอโรโลฟีนอยู่หลายอย่าง ซึ่งบางคนอาจจะแยกไม่ออกหรือดูแล้วยังไม่เข้าใจ แต่ถ้าสังเกตรายละเอียดลึกๆ แล้วจะเห็นความแตกต่างอยู่มาก ซึ่งกลุ่มไดโนเสาร์วงศ์ย่อยนี้จะมีลักษณะเด่นที่สุดก็คือ หงอนที่มีหลากหลายรูปแบบที่อยู่บนหัว ในแต่ละสปีช๊ส์ก็จะมีลักษณะของหงอนแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นโคริโทซอรัสที่มีหงอนคล้ายหมวกของนักรบโบราณ และพระเอกของเราอย่างเจ้าพาราซอโรโลฟัสที่มีหงอนยาวสูงอยู่บนหัว
และอันที่จริงแล้วหงอนของพวกมันนั้นไม่ได้มีไว้ดึงดูดเพศตรงข้ามเพียงอย่างเดียวแต่ยังสามารถส่งเสียงร้องดังกังวานได้แตกต่างกันออกไปอีกตามลักษณะของหงอนที่ต่างกันออกไป แต่ใครจะร้องได้เสียงดังที่สุดหละ!? ได้มีการศึกษากันอย่างละเอียดโดยเหล่านักบรรพชีวินวิทยาและนักวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายคน โดยศึกษาลักษณะของโครงสร้างของกะโหลกและโพรงภายใน..ซึ่งได้ผลสรุปออกมาว่า ยิ่งมีโพรงในกะโหลกมากและหงอนมีขนาดใหญ่จะอำนวยต่อการส่งเสียงร้องดังกังวานได้ ซึ่งผู้ชนะของเราก็ได้แก่.....พาราซอโรโลฟัส!!!! ของพวกเรานั่นเองและไม่ได้เป็นเพียงแค่ แฮโดรซอริด ที่ร้องเสียงดังที่สุดแต่ยังได้ขึ้นแท่นเป็น ไดโนเสาร์ที่มีเสียงร้องดังที่สุด อีกด้วย
อ้างอิง
- อีแวนส์ ดีซี ; บาวิงตัน อาร์; กัมปิโอเน, เนบราสเซีย (2009).https://pubs.geoscienceworld.org/cjes/article-abstract/46/11/791/54137/An-unusual-hadrosaurid-braincase-from-the-Dinosaur?redirectedFrom=fulltext
- https://www.dinosaurjoe.org/ 2022-11-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน โครงกระดูกของ Joe the young Parasaurolophus พิพิธภัณฑ์เรย์มอนด์ อัลฟ์ รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
- ซัลลิแวน อาร์เอส ; ยาซินสกี้, เสริฐ; เกนเธอร์ ม.; ลูคัส สิงคโปร์ (2011) ซัลลิแวน, โรเบิร์ต เอส.; ลูคัส, สเปนเซอร์ จี. (บรรณาธิการ)
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
pharasxorolfs chwngewlathimichiwitxyu 76 5 73Ma PreꞒ Ꞓ O S D C P T J K Pg N Possible recordParasaurolophus walkerikarcaaenkchnthangwithyasastrxanackr Animaliaiflm Chordatachn Sauropsidaxndbihy Dinosauriaxndb Ornithischiawngs wngsyxy skul Parasaurolophus 1922chnidtnaebb Parasaurolophus walkeri Parks 1922chnid P tubicen P cyrtocristatus Godefroit Zan amp Jin 2000chuxphxng Godefroit Zan amp Jin 2000 Paralophosaurus pharasxorolfs xngkvs Parasaurolophus chuxkhxngmnhmaykhwamwa khlaykingkahngxn sunginewlannmikarkhnphbidonesartrakulediywknmakxnaelwxyangecasxorolfsaelachuxmnkaeplwa kingkahngxn pharasxorolfscungthuktngchuxtamyatihangkhxngmnipdwyely pharasxorolfsepnidonesarwngs idonesarpakepd praephthkinphuch xasyxyuinthwipxemrikaehnuxaelaexechiyemuxplayyukhkhriethechiys praman 76 73 lanpikxn mnepnstwkinphuchthisamarthedinidthng 2 khaaela 4 kha aetswnihycaedin 4 kha n ewlanimikarkhnphbspichisthiaennxnkhxngmnxyuthnghmd 3 spichis kkhux P walkeri P tubican aela P cyrtocristatus txnniyngmikarnaesnxspichisthi 4 xyunnkkhux P jiayensis aetkyngmithvsdithiwaspichisnikhux xyu cungxaccayngimepnthiyxmrbknskethair sakfxssilthiruckknepnxyangdithukkhnphbthi rthxlebxrta praethsaekhnada aela rthniwemksiokkbrthyuthah praethsshrthxemrika odypharasxorolfsthuknaesnxchuxkhuninpi 1922 odynkthrniwithyachawaekhnada cakkarkhnphbkaohlksirsaaelaokhrngkradukbangswnthirthxlebxrta pharasxorolfsepnkhnadihyodymikhnadxyuthi 8 10 emtr lksnednkhxngmnkkhux mihngxnyawkhnadihyxyubnhwephuxichinkarsuxsaraetkyngepnthithkethiyngknxyu aetkminkbrrphchiwinwithyahlaykhnidnaesnxiwwahngxnbnhwkhxngmnsamrthichinkarsuxsarhruxsngesiyngrxngephuxichinkarkhmkhustruaelaeriykkhu sungbangthvsdiidesnxwa mnxaccaichiniddwy aetthvsdihlay thvsdicanaesnxwahngxnkhxngphwkmnsamarthichinkarrabuephsphuephsemiyid sungnnkepnlksnaednkhxngnkaelakingkaodythwipxyuaelwxikdwy kaohlkkhxngkhaoronsxrsthithukkhnphbthicin thuxwamilksnathikhlaykbecapharasxorolfsmaklksnaednaelaraylaexiydkhnadkhxngpharasxorolfs 2 spichis maepriybethiybknphrxmkbepriybethiybkbmnusy echnediywknkbidonesarswnihy fxssilswnihykhxngecapharasxorolfsyngimsmburn txnnifxssilkhxngmnthnghmdnnthukkhnphbidpraman 80 aelw wungthuxwakhxnkhangsmburnelythiediyw khnadkhxngmnthukpramaniwthi 8 56 9 45 emtr odyminahnkpraman 2 tn aet Gregory S Paul nkbrrphchiwinwithyaidichhlkkarkhxng Allometry sungidnahnkxxkmapraman 5 tn kaohlkkhxngpharasxorolfsmikhnadpraman 1 6 emtr epnkarwdkhnadthirwmhngxnkhxngphwkmndwyaelw khahnakhxngmnkhxnkhangsnaelamikhahlngthiyawechnediywknkbidonesarinwngstwxun ephraaehtunicungthaihmnsamarthyun 2 khaid mncungsamarthkinyxdimcakplaykingim thiidonesarbangchnidimsamarthexuxmipkinthungid mncungmikhxidepriybinkarkinxahar karepriybethiybkhnadkhxngaehodrsxridspichisxun aetsimwngiwoxeltthiehnxyucaimichpharasxorolfs aetcaepnkhaoronsxrsthimihnatathikhlayknkaohlk kaohlkkhxngpharasxorolfs lksnaednkhxngkaohlkpharasxorolfsaennxnwatxngepnkradukthiyunxxkmathangdanhlngkhxngkaohlk epnhngxnyawkhnadihythisamarthichinkardungdudephstrngkham aelasngesiyngrxng kradukophrngcmukkhxngmnnnaeykepn 2 thx yawcnthungplaykhxnghngxnephraaehtunicungthaihmnsamarthsngesiyngrxngdngkngwanid mikhxsnnisthanthiwa pharasxorolfsthuxepnidonesarthisamarthsngesiyngrxngdngipidiklmak cungxaccathaihmnepnidonesarthisamarthsngesiyngrxngdngidmakthisudxikdwy aetyawamnyngepnaekhkarsnnisthanethann karecriyetibot sakfxssilkhxng Joe thithukkhnphbinrthyuthah praethsshrthxemrika swnihyaelwnkbrrphchiwinwithyacasuksamncaksakfxssilkhxngpharasxorolfsthiotetmwyaelw swnphwktwelkhruxtwwyedkidmikarkhnphbsakfxssilthismburninchwngpi 2009 aelaidthukbnthukiwinpinnechnediywkn odymihmayelkhfxssilkhux RAM 140000 aelamnkmichuxxikdwy chuxkhxngmnkkhux Joe mnthukkhnphbodyxasasmkhrthi odymnthukkhninkarkxtwkhxngchnhin Kaiparowits Formation thirthyuthah praethsshrthxemrika eriykidwaepnfxssilthismburnpharasxorolfswyeyawthismburnthisudethathiekhyidmikarkhnphbma odyfxssilmixayupraman 75 lanpi aet Joe mixayukxntayephiyngaekh 1 piethann lksnakhxng Joe nnmikhwamkhlaykhlungkb P cyrtocristatus xyuhlayprakar echn rupaebbkhxnghngxnbnhwthinunkhunmaelknxy aelarupthrngkhxngkaohlkthidukhlayknkbpharasxorolfsinwngsediywkn makkwa spichisxun cungthaihnkbrrphchiwinwithyasamarthsnnisthanhnatakhxngpharasxorolfsinaetlachwngwyid odypharasxorolfsinwyedkcamihngxnnunkhnadelkxyubnhw phxerimekhasuwyrunmnxaccamihngxnthiimmikhnadihyskethair aetkxaccayawcnyunipthangdanhlngthaythxyaelwphxsmkhwr aetkyngepnkhxsnnisthanknxyu enuxngcakyngimmikarkhnphbsakfxssilkhxngpharasxorolfsinwyrunely swnihycamikarkhnphbaetphwkotetmwycungthaidephiyngaekhsnnisthanhnatakhxngmninchwngwyrunethann aelachwngwysudthay chwngotetmwy inchwngwynipharasxorolfscamihngxnkhnadihyxyubnhw aelamisnhlngthisungedn cungthaihmnduepnidonesarthisngangammakkarcdcaaenkpraephthpharasxorolfsnnepnidonesarthithukcdxyuinwngsaehodrsxrid odyidonesarinwngsnithukaebngxxkepn 2 wngsyxynnkkhux Saurolopinae sxorolfin aela Lambeosaurinae aelmbioxsxrin sungintxnaerknnpharasxorolfsthukcdiwwaepnyatiiklchidknkbsxorolfs aetinewlatxmamnthngsxngkidthukaeykhangxxkcakknhlngmikarcdwngsyxyihaehodrsxridihm dngthiklawiwkhangtn odysxorolfsthukcdxyuinwngsyxy sxorolfin aelapharasxorolfsthukcdxyuinwngsyxy aelmbioxsxrin phwkmnthngsxngcungimkhxyekiywenuxngknskethairaelw Saurolopinae sxorolfin phaphkhxng Edmontosaurus odysilpinxyang khun Natee Puttapipataennxnwapharasxorolfskhxngeraktxngxyuinklumidonesarwngsyxyniechnkn sxorolfinnnepnidonesarwngsyxykhxngwngsihyxyang aehodrsxrid odythiidonesarwngsyxynicamilksnaednkkhux micangxypakepdxyuthibriewnplaypakaelamifnkramthikhlayaebtetxri thisamarthngxkidtlxdchiwit nikhuxhnunginkhwammhscrrykhxngidonesarwngsaehodrsxrid aelalksnaednxyangsudthaykhxngidonesarinwngsyxynikkhux phwkmnimmihngxn aelamithrngkaohlkthiyawaebn twxyangechn exdmxnotsxrs sxorolfsLambeosaurinae aelmbioxsxrin nikhuxephuxnkhxngecapharasxr kb okhri sungecanikkhux aelmbioxsxrs ecanixaccamihnatakhlaykbokhrixyuhlaycudelythiediyw aelmbioxsxrinepnklumkhxngidonesarwngsyxykhxngklumidonesarwngsihyxyang aehodrsxrid odyidonesarwngsyxynimilksnathimikhwamaetktangcaksxorolfinxyuhlayxyang sungbangkhnxaccaaeykimxxkhruxduaelwyngimekhaic aetthasngektraylaexiydluk aelwcaehnkhwamaetktangxyumak sungklumidonesarwngsyxynicamilksnaednthisudkkhux hngxnthimihlakhlayrupaebbthixyubnhw inaetlaspichskcamilksnakhxnghngxnaetktangknxxkip imwacaepnokhriothsxrsthimihngxnkhlayhmwkkhxngnkrbobran aelaphraexkkhxngeraxyangecapharasxorolfsthimihngxnyawsungxyubnhw aelaxnthicringaelwhngxnkhxngphwkmnnnimidmiiwdungdudephstrngkhamephiyngxyangediywaetyngsamarthsngesiyngrxngdngkngwanidaetktangknxxkipxiktamlksnakhxnghngxnthitangknxxkip aetikhrcarxngidesiyngdngthisudhla idmikarsuksaknxyanglaexiydodyehlankbrrphchiwinwithyaaelankwithyasastrhlaytxhlaykhn odysuksalksnakhxngokhrngsrangkhxngkaohlkaelaophrngphayin sungidphlsrupxxkmawa yingmiophrnginkaohlkmakaelahngxnmikhnadihycaxanwytxkarsngesiyngrxngdngkngwanid sungphuchnakhxngerakidaek pharasxorolfs khxngphwkerannexngaelaimidepnephiyngaekh aehodrsxrid thirxngesiyngdngthisudaetyngidkhunaethnepn idonesarthimiesiyngrxngdngthisud xikdwyxangxingxiaewns disi bawingtn xar kmpioxen enbrasesiy 2009 https pubs geoscienceworld org cjes article abstract 46 11 791 54137 An unusual hadrosaurid braincase from the Dinosaur redirectedFrom fulltext https www dinosaurjoe org 2022 11 20 thi ewyaebkaemchchin okhrngkradukkhxng Joe the young Parasaurolophus phiphithphntherymxnd xlf rthyuthah praethsshrthxemrika slliaewn xarexs yasinski esrith eknethxr m lukhs singkhopr 2011 slliaewn orebirt exs lukhs sepnesxr ci brrnathikar bthkhwambrrphchiwinwithyaniyngepnokhrng khunsamarthchwywikiphiediyidodykarephimetimkhxmuldk Martin 2014 sfn error no target CITEREFMartin2014