บทความเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนี้ เนื่องจากไม่มีชื่อสามัญเป็นภาษาไทย |
Latimeria | |
---|---|
Latimeria chalumnae, สวนสัตว์เมืองแอนต์เวิร์ป, เบลเยียม | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Sarcopterygii |
ชั้นย่อย: | Coelacanthimorpha |
อันดับ: | Coelacanthiformes |
วงศ์: | Latimeriidae |
สกุล: | Latimeria , 1939 |
สปีชีส์ | |
Latimeria เป็นสกุลเดียวของปลาซีลาแคนท์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน มี 2 ชนิด พบที่บริเวณขอบด้านตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย และ อินโดนีเซีย
ลักษณะ
จากลักษณะวงแหวนเติบโตในกระดูกหู () นักวิทยาศาสตร์อนุมานว่าปลาซีลาแคนท์ตัวหนึ่ง ๆ อาจมีอายุยืนยาวได้ถึง 80 – 100 ปี ปลาซีลาแคนท์อาศัยอยู่ที่ระดับความลึกได้ถึง 700 เมตรใต้ระดับน้ำทะเล แต่ส่วนใหญ่จะพบได้ที่ระดับความลึกระหว่าง 90 – 200 เมตร ตัวอย่างของปลา ลาติเมอเรีย ชาลัมนี มีสีน้ำเงินเข้มที่อาจช่วยพลางตาจากบรรดานักล่าทั้งหลายได้ อย่างไรก็ตามชนิดที่พบที่อินโดนีเซียกลับมีสีน้ำตาล
ตาของปลาซีลาแคนท์มีความสามารถตอบสนองได้ไวมากและมีแผ่นเนื้อเยื่อ ที่สามารถสะท้อนแสงไปที่เรตินาของดวงตาทำให้เพิ่มความสามารถในการมองเห็นได้ ปลาซีลาแคนท์จะไม่ออกหากินในช่วงเวลากลางวันเนื่องจากการตอบสนองต่อแสงของดวงตา ในเรตินาของปลาซีลาแคนท์ยังมีเซลล์รับแสงรูปแท่งจำนวนมากที่ช่วยทำให้สามารถมองเห็นได้ในแสงสลัว ๆ ซึ่งรวมถึงเซลล์รูปแท่งและแผ่นเนื้อเยื่อ ช่วยให้ปลามองเห็นได้ดีในน้ำที่มืดสนิท
ปลาซีลาแคนท์หากินด้วยการล่าสัตว์จำพวกปลาหมึก ปลาไหล ฉลามขนาดเล็ก และปลาอื่น ๆ ที่พบในแนวปะการังน้ำลึกและบริเวณไหล่ฐานภูเขาไฟ พบว่าปลาซีลาแคนท์สามารถว่ายน้ำในแนวที่ส่วนหัวทิ่มลง ว่ายถอยหลัง หรือพลิกส่วนพุงขึ้นเพื่อหาตำแหน่งเหยื่อของมัน ซึ่งน่าจะเพื่อเป็นการใช้ต่อมที่อยู่บริเวณหัวด้านหน้าของมันรับสัญญาณสนามไฟฟ้าจากเหยื่อ นักวิทยาศาสตร์สงสัยว่าเหตุผลหนึ่งที่ปลานี้ประสบผลสำเร็จก็คือมันสามารถลดอัตราการเผาผลาญอาหารด้วยการจมลงไปที่ระดับน้ำลึก ๆ และลดความต้องการอาหารในลักษณะของ
ปลาซีลาแคนท์ที่อาศัยอยู่ใกล้อ่าวในแอฟริกาใต้ พบหลบพักอยู่ในถ้ำที่ระดับความลึกระหว่าง 90-150 เมตรในช่วงเวลากลางวัน แต่จะว่ายออกมาที่น้ำตื้นที่ระดับความลึกประมาณ 55 เมตรเพื่อออกล่าเหยื่อในช่วงเวลากลางคืน ความลึกไม่มีความสำคัญเทียบเท่าการที่มันต้องการแสงสลัว ๆ และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือที่ที่มีอุณหภูมิระหว่าง 14-22 องศาเซลเซียส พวกมันจะลอยตัวหรือจมลงเพื่อค้นหาสภาพที่เหมาะสมในลักษณะดังกล่าว ปริมาณของออกซิเจนที่เลือดสามารถดูดซับได้การจากน้ำทะเลผ่านเหงือกจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำ ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่าปลาซีลาแคนท์ต้องการอาศัยอยู่ในที่เย็น ในที่น้ำให้ออกซิเจนได้ดี ไม่เช่นนั้นเลือดของมันจะดูดซับออกซิเจนได้ไม่เพียงพอ
การสืบพันธุ์
ปลาซีลาแคนท์เพศเมียออกไข่และฝักเป็นตัวภายในท้องของแม่ จนกระทั่งคลอดออกมาครั้งละ 5-25 ตัว สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองทันทีที่คลอด พฤติกรรมการสืบพันธุ์ของมันยังไม่เป็นที่รู้จักกันดีนักแต่เชื่อกันว่าพวกมันจะเริ่มสืบพันธุ์เมื่อมีอายุได้ประมาณ 20 ปี ด้วยมีระยะตั้งครรถ์ระหว่าง 13-15 เดือน
การค้นพบ
ปี | รายละเอียด |
---|---|
1938 | (ธันวาคม 23) ปลาซีลาแคนท์ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันถูกค้นพบเป็นครั้งแรก ที่ 30 กม. ทางตะวันตกเฉียงใต้ของลอนดอนตะวันออก ในแอฟริกาใต้ |
1952 | (ธันวาคม 21) ตัวอย่างที่ 2 ในคอโมโรส จากนั้นมากกว่า 200 ตัวถูกจับขึ้นมาจากรอบ ๆ เกาะ |
1988 | ภาพถ่ายภาพแรกของปลาซีลาแคนท์ในถิ่นฐานธรรมชาติของมันโดย จากนอกชายฝั่ง |
1991 | ปลาซีลาแคนท์ตัวแรกที่ได้รับการวินิจฉัยใกล้โมซัมบิก 24 กม. นอกชายฝั่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของ |
1995 | ปลาซีลาแคนท์ที่ได้รับการบันทึกครั้งแรกที่มาดากัสการ์ 30 กม. ทางตอนใต้ของ |
1997 | (กันยายน 18) ปลาซีลาแคนท์ชนิดใหม่พบในอินโดนีเซีย |
2000 | ปลาซีลาแคนท์ฝูงหนึ่งพบโดยทีมนักปะดาน้ำบริเวณนอกชายฝั่งของ ในแอฟริกาใต้ |
2001 | ปลาซีลาแคนท์ฝูงหนึ่งพบนอกชายฝั่งของเคนยา |
2003 | ปลาซีลาแคนท์ตัวแรกจับได้โดยชาวประมงในแทนซาเนีย และภายในปีนั้นมีการจับได้ทั้งหมดถึง 22 ตัว |
2004 | นักวิจัยชาวแคนาดาจับปลาซีลาแคนท์ที่ถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาบริเวณนอกชายฝั่งมาดากัสการ์ [] |
2007 | (พฤษภาคม 19) ชาวประมงชาวอินโดนีเซียจับปลาซีลาแคนท์ขนาด 1.31 เมตร น้ำหนัก 51 กก. นอกชายฝั่งเกาะซูลาเวซี ใกล้กับ และมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 17 ชม. ในกระชัง |
2007 | (กรกฎาคม 15) ชาวประมง 2 คนจากแซนซิบาร์จับปลาซีลาแคนท์วัดได้ 1.34 เมตร น้ำหนัก 27 กก. ถูกจับได้นอกชายฝั่งทางปลายแหลมด้านเหนือของเกาะนอกชายฝั่งแทนซาเนีย |
การพบครั้งแรกในแอฟริกาใต้
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1938 เฮนดริก กูเซน (Hendrik Goosen) กัปตันเรือลากอวนพาณิชย์ “เนอรีน” กลับไปที่ท่าเรืออีสต์ลอนดอนในแอฟริกาใต้หลังจากลากอวนแถวปากแม่น้ำชาลัมน่า แล้วเขาก็ทำอย่างที่เขาเคยทำอยู่บ่อย ๆ คือโทรศัพท์ไปหาเพื่อนของเขา มาร์จอรี คอร์ทีเนย์-ลาติเมอร์ (Marjorie Courtenay-Latimer) ภัณฑรักษ์ที่พิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่งในอีสต์ลอนดอน เพื่อให้ไปดูว่าสิ่งที่จับได้นั้นเป็นสิ่งที่เธอสนใจหรือไม่ และยังบอกเธอว่ามีปลาเกล็ดแข็งที่เขาเก็บไว้ให้เธอดูอีกด้วย จากจดหมายเหตุของสถาบันความหลากหลายทางชีวภาพทางน้ำแห่งแอฟริกาใต้ (SAIAB) แสดงให้เห็นว่ากูเซนรักษาสภาพของปลาอย่างดี และสั่งให้ลูกเรือนำมันไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์อีสต์ลอนดอน ภายหลังกูเซนกล่าวว่าปลามีน้ำเงินโลหะแต่กว่าที่เนอรีนจะเข้าเทียบท่าก็กินเวลาหลายชั่วโมงทำให้ปลากลายเป็นสีเทาเข้ม
สิ่งที่ค้นพบนั้นไม่พบว่ามีการบันทึกถึงลักษณะเอาไว้ในหนังสือใด ๆ ที่เธอมีอยู่ เธอพยายามติดต่อกับเพื่อนของเธอ ศาสตราจารย์เจมส์ เลียวนาร์ด เบรียเลย์ สมิธ (James Leonard Brierley Smith) แต่เขาไม่อยู่เนื่องจากเทศกาลคริสต์มาส เนื่องด้วยไม่อาจเก็บรักษาสภาพของปลาเอาไว้ได้เธอจึงลังเลใจที่จะส่งมันไปทำเทคนิคการทำให้ซากสัตว์คงสภาพเหมือนมีชีวิต เมื่อสมิธกลับมาเขาพบว่ามันเป็นปลาซีลาแคนท์ที่พบได้เฉพาะเป็นฟอสซิล สมิธได้ตั้งชื่อปลาชนิดนี้ว่า “ลาติเมอเรีย ชาลัมนี” (Latimeria chalumnae) เพื่อเป็นเกียรติแก่ มาร์จอรี คอร์ทีเนย์-ลาติเมอร์และแม่น้ำที่เป็นแหล่งค้นพบ ผู้ค้นพบทั้งสองจึงกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังรู้จักกันไปทั่ว และปลาชนิดนี้ก็กลายเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นฟอสซิลมีชีวิต และปลาซีลาแคนท์ที่พบในปี ค.ศ. 1938 นี้ปัจจุบันยังคงจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในอีสต์เบิร์นนั้นเอง
อย่างไรก็ตาม ชิ้นตัวอย่างที่ถูกสตัฟฟ์นั้น ไม่สามารถตรวจสอบลักษณะของเหงือกและโครงกระดูกได้และยังมีข้อสงสัยที่ค้างคาอยู่ว่ามันจะเป็นชนิดเดียวกันหรือไม่ สมิธเริ่มล่าตัวที่สองซึ่งก็ต้องใช้เวลามากกว่าทศวรรต
คอโมโรส
ได้มีการค้นหาปลาซีลาแคนท์เพิ่มเติมกันทั่วโลก ด้วยการตั้งเงินรางวัลสูงถึง 100 ปอนด์ซึ่งถือว่าเป็นมูลค่าสูงมากสำหรับชาวประมงอัฟริกันในช่วงสมัยนั้น สิบสี่ปีให้หลังได้มีการค้นพบอีกหนึ่งตัวอย่างที่คอโมโรสแต่ปลานั้นก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนในท้องที่ประหลาดใจแต่ประการใด ที่ท่าเรือโดโมนิบนเกาะคอโมโรสแห่งแอนโจอวน ชาวคอโมโรสสงสัยว่าทำไมปลาจึงได้รับการเสนอรางวัลสูงนัก ปลาที่พวกเขารู้จักกันในนามของ “กอมเบสซา” หรือ “มาเม” เป็นปลาที่เกือบกินเป็นอาหารไม่ได้ที่บางครั้งชาวประมงก็จับได้ด้วยความเข้าใจผิด
ตัวอย่างที่สองพบในปี ค.ศ. 1952 โดยชาวประมงชาวคอโมโรส อะฮามาดิ อับดุลลาห์ ที่ถูกพิจารณาให้เป็นชนิดใหม่ที่แตกต่างออกไป โดยในตัวอย่างแรกให้ชื่อเป็น “มาลันเนีย ฮันไต” (Malania anjounae) และตัวอย่างต่อมาให้เป็น “มาลันเนีย แอนโจอันนี” (Malania anjounae) ตามชื่อของแดเนียล ฟรานซิส มาลัน นายกรัฐมนตรีแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นผู้จัดส่งตัวอย่างปลาไปให้อย่างรวดเร็วตามคำร้องขอของศาสตราจารย์ สมิธ โดยดาโกต้า ในภายหลังพบว่าการหายไปของครีบหลังอันแรกซึ่งเดิมทีคิดว่าเป็นลักษณะที่มีนัยสำคัญนั้น เกิดจากการหลุดหายไปจากการบาดเจ็บของตัวปลาเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ มาลันผู้ยึดมั่นในพระผู้สร้าง เมื่อเขาเห็นมันครั้งแรกถึงกับร้องอุทานว่า “ตัวฉัน มันน่าเกลียด คุณหมายความว่าครั้งหนึ่งเราเคยเป็นแบบนั้นหรือ” ตัวอย่างปลาถูกซ่อมแซมโดยสมิธและจัดแสดงไว้ที่ SAIAB ในเกรแฮมส์ทาวน์ของแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นที่ทำงานของเขา
ปัจจุบันชาวคอโมโรสรู้ถึงความสำคัญของปลาใกล้สูญพันธุ์ชนิดนี้ดีและได้ก่อ ตั้งโครงการปล่อยปลาซีลาแคนท์ที่จับได้โดยอุบัติเหตุกลับคืนสู่ทะเลลึก
สำหรับสมิธผู้ได้ล่วงลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1968 นั้น ถือเป็นบุคคลที่มีคุณูปการอย่างมากเกี่ยวกับปลาซีลาแคนท์ดังที่ปรากฏในหนังสือ “Old Fourlegs” ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1956 หนังสือของเขา “Sea Fishes of the Indian Ocean” ซึ่งมี มาร์กาเรต ภรรยาของเขาเป็นผู้ร่วมเขียนที่ถือว่าเป็นตำราอ้างอิงด้านมีนวิทยาที่ได้มาตรฐานเล่มหนึ่งในแอฟริกา
ในปี 1988 ช่างภาพเนชั่นแนลจีโอกราฟิก ฮานส์ ฟริคส์ เป็นบุคคลแรกที่ถ่ายภาพปลาซีลาแคนท์ในถิ่นอาศัยของมันตามธรรมชาติ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 180 เมตรนอกชายฝั่งตะวันตกของแกรนด์โคโมร์
ชนิดที่สองในอินโดนีเซีย
เมื่อวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1997 อาร์นาซ และมาร์ค เอิร์ดมันน์ ได้ท่องเที่ยวไปในอินโดนีเซียในการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเขา เขาพบปลาตัวแปลก ๆ เข้าไปในตลาดที่มานาโดบนเกาะซูลาเวซี มาร์คคิดว่าเป็นปลา “กอมเบสซ่า” (ปลาซีลาแคนท์จากคอโมโรส) แม้ว่ามันไม่เป็นสีน้ำเงินแต่กลับเป็นสีน้ำตาล ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งได้พิจารณาภาพถ่ายในอินเทอร์เน็ตของเขาแล้วให้ความเห็นว่ามันมีลักษณะที่มีนัยสำคัญ หลังจากนั้นคู่สามีภรรยาเอิร์ดมันน์ได้ติดต่อกับชาวประมงในท้องที่และได้ร้องขอว่าหากจับปลาลักษณะดังกล่าวได้อีกขอได้โปรดส่งให้เขา ตัวอย่างที่สองจากอินโดนีเซียมีความยาว 1.2 เมตรและมีน้ำหนัก 29 กิโลกรัมถูกจับได้ขณะยังมีชีวิตอยู่เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1998 มันมีชีวิตอยู่ได้ 6 ชั่วโมง ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถบันทึกภาพลักษณะของสี การเคลื่อนที่ของครีบ และพฤติกรรมอื่น ๆ ทั่วไป ตัวอย่างปลาถูกเก็บรักษาไว้และบริจาคให้พิพิธภัณฑ์สัตววิทยาโบกอร์ (MZB) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งอินโดนีเซีย (LIPI)
ผลการตรวจสอบดีเอ็นเอชี้ชัดว่าตัวอย่างปลามีความแตกต่างทางพันธุกรรมกับปลาซีลาแคนท์คอโมโรสอย่างชัดเจน มื่อดูอย่างผิวเผินแล้วปลาซีลาแคนท์จากอินโดนีเซียซึ่งในท้องที่เรียกกัน ว่า “ราชาลอต” (หมายถึงเจ้าแห่งทะเล) มีลักษณะที่เหมือนกันกับที่พบในคอโมโรสยกเว้นที่สีผิวที่เป็นสีเทาแกมสีน้ำตาลแทนที่จะเป็นสีน้ำเงิน ปลาชนิดนี้ถูกบรรยายรูปพรรณไว้ในวารสาร Comptes Rendus de l'Académie des sciences Paris ในปี 1999 โดย Pouyaud et al และถูกตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ลาติเมอเรีย เมนาโดเอนซิส (Latimeria menadoensis) ผลการศึกษาทางโมเลกุลประมาณการได้ว่าช่วงเวลาที่เกิดการแตกแขนงเป็นปลาซีลาแคนท์ 2 ชนิดนั้นอยู่ที่ประมาณ 40 – 30 ล้านปีมาแล้ว
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 จัสตินัส ลาฮามา ชาวประมงชาวอินโดนีเซียได้จับปลาซีลาแคนท์ลำตัวยาว 1.3 เมตร น้ำหนัก 50 กิโลกรัมจากนอกชายฝั่งใกล้เมนาโด ทางตอนเหนือของเกาะซูลาเวซีใกล้กับอุทยาน ทะเลแห่งชาติบูนาเก้น หลังจากนำขึ้นจากน้ำได้ 30 นาทีปลาซึ่งยังมีชีวิตอยู่ถูกนำไปขังไว้ในกระชังหน้าภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ชายฝั่งทะเลและอยู่รอดได้นานถึง 17 ชั่วโมง ปลาซีลาแคนท์มีลักษณะที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับปลาปอดซึ่งปรกติจะอาศัยอยู่ที่ระดับความลึก 200 – 1000 เมตร ปลาถูกถ่ายทำเป็นภาพยนตร์โดยเจ้าหน้าที่ในท้องที่ โดยว่ายไปมาในกระชังลึกประมาณหนึ่งเมตร เมื่อมันตายจึงนำไปแช่แข็ง สำนักข่าวเอเอฟพีของฝรั่งเศสเรียกร้องให้นักวิทยาศาสตร์จากฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และอินโดนีเซียเข้าร่วมงานกับสถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งฝรั่งเศสเพื่อดำเนินการตรวจสอบถึงสาเหตุของการตายของปลาซีลาแคนท์และวิเคราะห์ทางพันธุศาสตร์หลังจากนั้น ปัจจุบันนี้มหาวิทยาลัยในท้องที่กำลังทำการศึกษาซากศพอยู่
อุทยานพื้นที่ชุ่มน้ำไซแมงกาลิโสในแอฟริกาใต้
ในแอฟริกาใต้ การค้นหายังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องมาหลายปี นักประดาน้ำวัย 46 ปี ได้เสียชีวิตขณะดำค้นหาปลาซีลาแคนท์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1998
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2000 ทางตอนใต้ของเขตแดนโมซัมบิกลงไปเล็กน้อย ในอ่าวของ นักประดาน้ำน้ำลึกสามคนคือ และ ได้ดำน้ำลงไปลึก 104 เมตรและก็ได้พบเห็นปลาซีลาแคนท์โดยไม่ได้ตั้งใจ
กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "กลุ่มสำรวจปลาซีลาแคนท์แอฟริกาใต้ 2000" หวนกลับมาพร้อมอุปกรณ์ถ่ายภาพและสมาชิกเพิ่มเติมอีกหลายคน โดยในวันที่ 27 พฤศจิกายน หลังจากการดำสำรวจครั้งแรกที่ไม่ประสบผลสำเร็จ สมาชิกทั้งสี่ของกลุ่ม ได้แก่ และ ได้พบเข้ากับปลาซีลาแคนท์ 3 ตัว ตัวที่ใหญ่ที่สุดยาวประมาณ 1.5 – 1.8 เมตร ส่วนอีกสองตัวมีความยาวประมาณ 1.0-1.2 เมตร ปลาเหล่านี้ว่ายไปมาโดยมีส่วนหัวดิ่งลงดูเหมือนว่าจะหากินอยู่บริเวณผนังหินที่มีส่วนยื่นโผล่ออกมา กลุ่มของคณะปะดาน้ำนี้กลับขึ้นมาพร้อมภาพวิดีโอและภาพถ่ายของปลาซีลาแคนท์
อย่างไรก็ตามระหว่างการดำน้ำนั้นเซอร์ฟอนเตียนได้หมดสติและเดนนิส ฮาร์ดิงวัย 34 ปีได้พุ่งโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาในลักษณะของการขาดการควบคุม ฮาร์ดิงได้บ่นว่าเจ็บที่คอและได้เสียชีวิตไปจากอาการภาวะเส้นเลือดอุดตันขณะอยู่บนเรือ ส่วนเซอร์ฟอนเทียนหายดีหลังเข้ารับการรักษาโรคลดความกด
ระหว่างเดือนมีนาคม–เมษายน ค.ศ. 2002 และทีมปะดาน้ำฟริกค์ได้ลงไปในทะเลลึกนอกชายฝั่งและได้สังเกตเห็นปลาซีลาแคนท์ 15 ตัว เครื่องยั่งแบบลูกดอกถูกใช้ในการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อของปลา
แทนซาเนีย
มีการจับปลาซีลาแคนท์ได้บริเวณนอกชายฝั่งของแทนซาเนียมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 สองตัวแรกถูกจับได้ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2003 ใกล้ซันกา เอมนารา (Songa Mnara) ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ บนขอบมหาสมุทรอินเดีย ได้รับรายงานว่าในช่วง 5 เดือนหลังจากนั้นพบอีก 19 ตัวมีน้ำหนักระหว่าง 25 – 80 กิโลกรัมติดอวนขึ้นมา รวมถึงมีการจับได้อีกตัวหนึ่งในเดือนมกราคม ค.ศ. 2005 หนังสือพิมพ์รายงานเมื่อปี ค.ศ. 2006 ว่ามีการจับปลาซีลาแคนท์ได้ตัวหนึ่งที่มีน้ำหนักตัวถึง 110 กิโลกรัมทีเดียว เจ้าหน้าที่จาก "โครงการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งแทงก้า" ซึ่งมีแผนกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อปกป้องปลาซีลาแคนท์นี้ได้เห็นความสัมพันธ์ของช่วงเวลาการถูกจับด้วยการลากอวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือของชาวญี่ปุ่นที่อยู่ใกล้ถิ่นฐานของปลาซีลาแคนท์ เพียงในระยะไม่กี่วันที่เรือลากอวนสามารถจับปลาซีลาแคนท์ด้วยอวนน้ำลึกที่ใช้กับฉลาม การปรากฏตัวชั่วครั้งชั่วคราวของปลาซีลาแคนท์นอกชายฝั่งแทนซาเนียได้เพิ่มความกังวลใจอันเนื่องมาจากความเสียหายของจำนวนประชากรปลาซีลาแคนท์ในอนาคต โดยผลกระทบส่วนใหญ่เกิดจากการไม่รู้จักแยกแยะวิธีการลากอวนออกจากความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับถิ่นฐานของปลาซีลาแคนท์
ผู้เข้าร่วมโครงการกล่าวว่า “ทันทีที่เราหยุดการลากอวน เราก็จะไม่รบกวนปลาซีลาแคนท์อีกต่อไป ก็ง่าย ๆ เพียงแค่นี้” ผู้ร่วมงานของเขา กล่าวว่าเรากำลังกดดันรัฐบาลแทนซาเนียให้จำกัดการลากอวน เขากล่าวว่า “ผมคิดว่าเราควรจะชื่นชมยินดีกับผู้ลากอวนทั้งหลาย เพราะว่าเขาทำให้เราประจักษ์ชัดถึงจำนวนประชากรปลาที่เป็นเอกลักษณ์และน่าประหลาดใจนี้ แต่เราต้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยความหวั่นว่าพวกเขาจะเข้ามาทำลายสิ่งที่มีค่าเหล่านี้ เราต้องการให้รัฐบาลจำกัดการลากอวนและจัดสรรทุนวิจัยที่เหมาะสมเพื่อเราจะได้เรียนรู้ปลาซีลาแคนท์ได้มากกว่านี้เพื่อปกป้องมัน”
ในรายงานฉบับหนึ่งของเดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 กล่าวว่า การประชุมอภิปรายเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติของแทนซาเนียซึ่งเป็นกลุ่มองค์กรเอกชนท้องถิ่นได้เตือนว่าโครงการที่เสนอที่อาจมีผลคุกคามต่อประชากรปลาซีลาแคนท์ในชายฝั่งได้
อ้างอิง
- page 200, Weinberg, Samantha. 2006. A Fish Caught in Time: the Search for the Coelacanth. HarperCollins Publishers, New York, NY.
- Iziko South African Museum, Cape Town
- Nelson, Joseph S. (2006). Fishes of the World. , Inc.
- Reuters (2007), "Indonesian fisherman nets ancient fish", Reuters UK, 2007-05-21, สืบค้นเมื่อ 2007-07-16.
- Reuters (2007), "Zanzibar fishermen land ancient fish", Reuters UK, 2007-07-15, สืบค้นเมื่อ 2009-12-13.
- page 73, Weinberg, Samantha. 2006. A Fish Caught in Time: the Search for the Coelacanth. HarperCollins Publishers, New York, NY.
- Fricke, Hans (June 1988). "Coelacanths:The fish that time forgot". National Geographic. 173 (6): 824–828.
- Jewett, Susan L., "On the Trail of the Coelacanth, a Living Fossil", The Washington Post, 1998-11-11, Retrieved on 2007-06-19.
- Erdmann, Mark V. (April 1999). "An Account of the First Living Coelacanth known to Scientists from Indonesian Waters". Environmental Biology of Fishes. Springer Netherlands. 54 (#4): 439–443. doi:10.1023/A:1007584227315. S2CID 46211870. 0378-1909 (Print) 1573-5133 (Online).
- Holder, Mark T.; Mark V. Erdmann; Thomas P. Wilcox; Roy L. Caldwell & David M. Hillis (1999). "Two living species of coelacanths?". Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America. 96 (22): 12616–12620. Bibcode:1999PNAS...9612616H. doi:10.1073/pnas.96.22.12616. PMC 23015. PMID 10535971.
- Pouyaud, L.; S. Wirjoatmodjo; I. Rachmatika; A. Tjakrawidjaja; R. Hadiaty & W. Hadie (1999). "Une nouvelle espèce de coelacanthe: preuves génétiques et morphologiques". Comptes Rendus de l'Académie des Sciences, Série III. 322 (4): 261–267. Bibcode:1999CRASG.322..261P. doi:10.1016/S0764-4469(99)80061-4. PMID 10216801.
- Inoue J. G.; M. Miya; B. Venkatesh; M. Nishida (2005). "The mitochondrial genome of Indonesian coelacanth Latimeria menadoensis (Sarcopterygii: Coelacanthiformes) and divergence time estimation between the two coelacanths". Gene. 349: 227–235. doi:10.1016/j.gene.2005.01.008. PMID 15777665.
- "Ancient Indonesian fish is 'living fossil'" 2008-12-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Cosmos Online, 2007-07-29.
- "Dinosaur fish pushed to the brink by deep-sea trawlers", The Observer, 2006-01-08, สืบค้นเมื่อ 2007-06-18.
- "Does Tanga need a new harbour at Mwambani Bay?" 2010-09-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, , 2008-03-05, สืบค้นเมื่อ 2009-02-25.
- "Population of prehistoric deep-ocean coelacanth may go the way of the dinosaurs", , 2009-02-25, สืบค้นเมื่อ 2009-02-25.
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
bthkhwamekiywkbsingmichiwitnimichuxbthkhwamepnchuxwithyasastr enuxngcakimmichuxsamyepnphasaithyLatimeriaLatimeria chalumnae swnstwemuxngaexntewirp ebleyiymkarcaaenkchnthangwithyasastrxanackr Animaliaiflm Chordatachn Sarcopterygiichnyxy Coelacanthimorphaxndb Coelacanthiformeswngs Latimeriidaeskul Latimeria 1939spichisL chalumnae chnidtnaebb L menadoensis Latimeria epnskulediywkhxngplasilaaekhnththiyngmichiwitxyuinpccubn mi 2 chnid phbthibriewnkhxbdantawntkkhxngmhasmuthrxinediy aela xinodniesiylksnaLatimeria chalumnae phiphithphnthstwsastr okhepnehekn caklksnawngaehwnetibotinkradukhu nkwithyasastrxnumanwaplasilaaekhnthtwhnung xacmixayuyunyawidthung 80 100 pi plasilaaekhnthxasyxyuthiradbkhwamlukidthung 700 emtritradbnathael aetswnihycaphbidthiradbkhwamlukrahwang 90 200 emtr twxyangkhxngpla latiemxeriy chalmni misinaenginekhmthixacchwyphlangtacakbrrdanklathnghlayid xyangirktamchnidthiphbthixinodniesiyklbmisinatal takhxngplasilaaekhnthmikhwamsamarthtxbsnxngidiwmakaelamiaephnenuxeyux thisamarthsathxnaesngipthiertinakhxngdwngtathaihephimkhwamsamarthinkarmxngehnid plasilaaekhnthcaimxxkhakininchwngewlaklangwnenuxngcakkartxbsnxngtxaesngkhxngdwngta inertinakhxngplasilaaekhnthyngmiesllrbaesngrupaethngcanwnmakthichwythaihsamarthmxngehnidinaesngslw sungrwmthungesllrupaethngaelaaephnenuxeyux chwyihplamxngehniddiinnathimudsnith rupcalxng latiemxeriy chalmni inaesdngsisnemuxmnyngmichiwitxyu plasilaaekhnthhakindwykarlastwcaphwkplahmuk plaihl chlamkhnadelk aelaplaxun thiphbinaenwpakarngnalukaelabriewnihlthanphuekhaif phbwaplasilaaekhnthsamarthwaynainaenwthiswnhwthimlng waythxyhlng hruxphlikswnphungkhunephuxhataaehnngehyuxkhxngmn sungnacaephuxepnkarichtxmthixyubriewnhwdanhnakhxngmnrbsyyansnamiffacakehyux nkwithyasastrsngsywaehtuphlhnungthiplaniprasbphlsaerckkhuxmnsamarthldxtrakarephaphlayxahardwykarcmlngipthiradbnaluk aelaldkhwamtxngkarxaharinlksnakhxng plasilaaekhnththixasyxyuiklxawinaexfrikait phbhlbphkxyuinthathiradbkhwamlukrahwang 90 150 emtrinchwngewlaklangwn aetcawayxxkmathinatunthiradbkhwamlukpraman 55 emtrephuxxxklaehyuxinchwngewlaklangkhun khwamlukimmikhwamsakhyethiybethakarthimntxngkaraesngslw aelathisakhyyingkwakkhuxthithimixunhphumirahwang 14 22 xngsaeslesiys phwkmncalxytwhruxcmlngephuxkhnhasphaphthiehmaasminlksnadngklaw primankhxngxxksiecnthieluxdsamarthdudsbidkarcaknathaelphanehnguxkcakhunxyukbxunhphumikhxngna phlkarwicythangwithyasastrphbwaplasilaaekhnthtxngkarxasyxyuinthieyn inthinaihxxksiecniddi imechnnneluxdkhxngmncadudsbxxksiecnidimephiyngphx karsubphnthu plasilaaekhnthephsemiyxxkikhaelafkepntwphayinthxngkhxngaem cnkrathngkhlxdxxkmakhrngla 5 25 tw samarthdarngchiwitxyuiddwytwkhxngmnexngthnthithikhlxd phvtikrrmkarsubphnthukhxngmnyngimepnthiruckkndinkaetechuxknwaphwkmncaerimsubphnthuemuxmixayuidpraman 20 pi dwymirayatngkhrrthrahwang 13 15 eduxnkarkhnphbprawtikarkhnphb pi raylaexiyd1938 thnwakhm 23 plasilaaekhnthyngmichiwitxyuinpccubnthukkhnphbepnkhrngaerk thi 30 km thangtawntkechiyngitkhxnglxndxntawnxxk inaexfrikait1952 thnwakhm 21 twxyangthi 2 inkhxomors caknnmakkwa 200 twthukcbkhunmacakrxb ekaa1988 phaphthayphaphaerkkhxngplasilaaekhnthinthinthanthrrmchatikhxngmnody caknxkchayfng1991 plasilaaekhnthtwaerkthiidrbkarwinicchyiklomsmbik 24 km nxkchayfngipthangtawnxxkechiyngehnuxkhxng1995 plasilaaekhnththiidrbkarbnthukkhrngaerkthimadakskar 30 km thangtxnitkhxng1997 knyayn 18 plasilaaekhnthchnidihmphbinxinodniesiy2000 plasilaaekhnthfunghnungphbodythimnkpadanabriewnnxkchayfngkhxng inaexfrikait2001 plasilaaekhnthfunghnungphbnxkchayfngkhxngekhnya2003 plasilaaekhnthtwaerkcbidodychawpramnginaethnsaeniy aelaphayinpinnmikarcbidthnghmdthung 22 tw2004 nkwicychawaekhnadacbplasilaaekhnththithuxwamikhnadihythisudethathiekhymimabriewnnxkchayfngmadakskar txngkarxangxing 2007 phvsphakhm 19 chawpramngchawxinodniesiycbplasilaaekhnthkhnad 1 31 emtr nahnk 51 kk nxkchayfngekaasulaewsi iklkb aelamichiwitxyuidnanthung 17 chm inkrachng2007 krkdakhm 15 chawpramng 2 khncakaesnsibarcbplasilaaekhnthwdid 1 34 emtr nahnk 27 kk thukcbidnxkchayfngthangplayaehlmdanehnuxkhxngekaanxkchayfngaethnsaeniykarphbkhrngaerkinaexfrikait karkhnphbthukphadhwinhnngsuxphimph inpi kh s 1939 emuxwnthi 23 thnwakhm kh s 1938 ehndrik kuesn Hendrik Goosen kptneruxlakxwnphanichy enxrin klbipthithaeruxxistlxndxninaexfrikaithlngcaklakxwnaethwpakaemnachalmna aelwekhakthaxyangthiekhaekhythaxyubxy khuxothrsphthiphaephuxnkhxngekha marcxri khxrthieny latiemxr Marjorie Courtenay Latimer phnthrksthiphiphithphnthelk aehnghnunginxistlxndxn ephuxihipduwasingthicbidnnepnsingthiethxsnichruxim aelayngbxkethxwamiplaekldaekhngthiekhaekbiwihethxduxikdwy cakcdhmayehtukhxngsthabnkhwamhlakhlaythangchiwphaphthangnaaehngaexfrikait SAIAB aesdngihehnwakuesnrksasphaphkhxngplaxyangdi aelasngihlukeruxnamnipekbrksaiwthiphiphithphnthxistlxndxn phayhlngkuesnklawwaplaminaenginolhaaetkwathienxrincaekhaethiybthakkinewlahlaychwomngthaihplaklayepnsiethaekhm singthikhnphbnnimphbwamikarbnthukthunglksnaexaiwinhnngsuxid thiethxmixyu ethxphyayamtidtxkbephuxnkhxngethx sastracaryecms eliywnard ebriyely smith James Leonard Brierley Smith aetekhaimxyuenuxngcakethskalkhristmas enuxngdwyimxacekbrksasphaphkhxngplaexaiwidethxcunglngelicthicasngmnipthaethkhnikhkarthaihsakstwkhngsphaphehmuxnmichiwit emuxsmithklbmaekhaphbwamnepnplasilaaekhnththiphbidechphaaepnfxssil smithidtngchuxplachnidniwa latiemxeriy chalmni Latimeria chalumnae ephuxepnekiyrtiaek marcxri khxrthieny latiemxraelaaemnathiepnaehlngkhnphb phukhnphbthngsxngcungklayepnphuthimichuxesiyngodngdngruckknipthw aelaplachnidnikklayepnthiruckknwaepnfxssilmichiwit aelaplasilaaekhnththiphbinpi kh s 1938 nipccubnyngkhngcdaesdngiwthiphiphithphnthinxistebirnnnexng xyangirktam chintwxyangthithukstffnn imsamarthtrwcsxblksnakhxngehnguxkaelaokhrngkradukidaelayngmikhxsngsythikhangkhaxyuwamncaepnchnidediywknhruxim smitherimlatwthisxngsungktxngichewlamakkwathswrrt khxomors twxyangpla Latimeria chalumnae thiekbrksaiwthiphiphithphnthprawtisastrthrrmchati krungewiynna praethsxxsetriy yaw 170 sm nahnk 60 kk twxyangnithukcbidemuxwnthi 18 tulakhm 1974 iklkbsalimani aekrnd okhomr ekaakhxomors 11 48 40 7 S 43 16 3 3 E 11 811306 S 43 267583 E 11 811306 43 267583 idmikarkhnhaplasilaaekhnthephimetimknthwolk dwykartngenginrangwlsungthung 100 pxndsungthuxwaepnmulkhasungmaksahrbchawpramngxfrikninchwngsmynn sibsipiihhlngidmikarkhnphbxikhnungtwxyangthikhxomorsaetplannkimidthaihphukhninthxngthiprahladicaetprakarid thithaeruxodomnibnekaakhxomorsaehngaexnocxwn chawkhxomorssngsywathaimplacungidrbkaresnxrangwlsungnk plathiphwkekharuckkninnamkhxng kxmebssa hrux maem epnplathiekuxbkinepnxaharimidthibangkhrngchawpramngkcbiddwykhwamekhaicphid twxyangthisxngphbinpi kh s 1952 odychawpramngchawkhxomors xahamadi xbdullah thithukphicarnaihepnchnidihmthiaetktangxxkip odyintwxyangaerkihchuxepn malneniy hnit Malania anjounae aelatwxyangtxmaihepn malneniy aexnocxnni Malania anjounae tamchuxkhxngaedeniyl fransis maln naykrthmntriaexfrikait sungepnphucdsngtwxyangplaipihxyangrwderwtamkharxngkhxkhxngsastracary smith odydaokta inphayhlngphbwakarhayipkhxngkhribhlngxnaerksungedimthikhidwaepnlksnathiminysakhynn ekidcakkarhludhayipcakkarbadecbkhxngtwplaemuxkhrngyngmichiwitxyu malnphuyudmninphraphusrang emuxekhaehnmnkhrngaerkthungkbrxngxuthanwa twchn mnnaekliyd khunhmaykhwamwakhrnghnungeraekhyepnaebbnnhrux twxyangplathuksxmaesmodysmithaelacdaesdngiwthi SAIAB inekraehmsthawnkhxngaexfrikaitsungepnthithangankhxngekha pccubnchawkhxomorsruthungkhwamsakhykhxngplaiklsuyphnthuchnidnidiaelaidkx tngokhrngkarplxyplasilaaekhnththicbidodyxubtiehtuklbkhunsuthaelluk sahrbsmithphuidlwnglbipemuxpi kh s 1968 nn thuxepnbukhkhlthimikhunupkarxyangmakekiywkbplasilaaekhnthdngthipraktinhnngsux Old Fourlegs tiphimphkhrngaerkinpi kh s 1956 hnngsuxkhxngekha Sea Fishes of the Indian Ocean sungmi markaert phrryakhxngekhaepnphurwmekhiynthithuxwaepntaraxangxingdanminwithyathiidmatrthanelmhnunginaexfrika inpi 1988 changphaphenchnaenlcioxkrafik hans frikhs epnbukhkhlaerkthithayphaphplasilaaekhnthinthinxasykhxngmntamthrrmchati sungxyuhangxxkippraman 180 emtrnxkchayfngtawntkkhxngaekrndokhomr chnidthisxnginxinodniesiy Latimeria menadoensis phiphithphnthstwnaotekiyw yipun emuxwnthi 18 knyayn kh s 1997 xarnas aelamarkh exirdmnn idthxngethiywipinxinodniesiyinkardumnaphungphracnthrkhxngekha ekhaphbplatwaeplk ekhaipintladthimanaodbnekaasulaewsi markhkhidwaepnpla kxmebssa plasilaaekhnthcakkhxomors aemwamnimepnsinaenginaetklbepnsinatal phuechiywchaythanhnungidphicarnaphaphthayinxinethxrentkhxngekhaaelwihkhwamehnwamnmilksnathiminysakhy hlngcaknnkhusamiphrryaexirdmnnidtidtxkbchawpramnginthxngthiaelaidrxngkhxwahakcbplalksnadngklawidxikkhxidoprdsngihekha twxyangthisxngcakxinodniesiymikhwamyaw 1 2 emtraelaminahnk 29 kiolkrmthukcbidkhnayngmichiwitxyuemuxwnthi 30 krkdakhm kh s 1998 mnmichiwitxyuid 6 chwomng thaihnkwithyasastrsamarthbnthukphaphlksnakhxngsi karekhluxnthikhxngkhrib aelaphvtikrrmxun thwip twxyangplathukekbrksaiwaelabricakhihphiphithphnthstwwithyaobkxr MZB sungepnswnhnungkhxngsthabnwithyasastraehngxinodniesiy LIPI phlkartrwcsxbdiexnexchichdwatwxyangplamikhwamaetktangthangphnthukrrmkbplasilaaekhnthkhxomorsxyangchdecn muxduxyangphiwephinaelwplasilaaekhnthcakxinodniesiysunginthxngthieriykkn wa rachalxt hmaythungecaaehngthael milksnathiehmuxnknkbthiphbinkhxomorsykewnthisiphiwthiepnsiethaaekmsinatalaethnthicaepnsinaengin plachnidnithukbrryayrupphrrniwinwarsar Comptes Rendus de l Academie des sciences Paris inpi 1999 ody Pouyaud et al aelathuktngchuxwithyasastrwa latiemxeriy emnaodexnsis Latimeria menadoensis phlkarsuksathangomelkulpramankaridwachwngewlathiekidkaraetkaekhnngepnplasilaaekhnth 2 chnidnnxyuthipraman 40 30 lanpimaaelw emuxwnthi 19 phvsphakhm kh s 2007 cstins lahama chawpramngchawxinodniesiyidcbplasilaaekhnthlatwyaw 1 3 emtr nahnk 50 kiolkrmcaknxkchayfngiklemnaod thangtxnehnuxkhxngekaasulaewsiiklkbxuthyan thaelaehngchatibunaekn hlngcaknakhuncaknaid 30 nathiplasungyngmichiwitxyuthuknaipkhngiwinkrachnghnaphttakharaehnghnungthichayfngthaelaelaxyurxdidnanthung 17 chwomng plasilaaekhnthmilksnathiekiywkhxngiklchidkbplapxdsungprkticaxasyxyuthiradbkhwamluk 200 1000 emtr plathukthaythaepnphaphyntrodyecahnathiinthxngthi odywayipmainkrachnglukpramanhnungemtr emuxmntaycungnaipaechaekhng sankkhawexexfphikhxngfrngesseriykrxngihnkwithyasastrcakfrngess yipun aelaxinodniesiyekharwmngankbsthabnwicyaelaphthnaaehngfrngessephuxdaeninkartrwcsxbthungsaehtukhxngkartaykhxngplasilaaekhnthaelawiekhraahthangphnthusastrhlngcaknn pccubnnimhawithyalyinthxngthikalngthakarsuksasaksphxyu xuthyanphunthichumnaisaemngkaliosinaexfrikait inaexfrikait karkhnhayngkhngdaenintxipxyangtxenuxngmahlaypi nkpradanawy 46 pi idesiychiwitkhnadakhnhaplasilaaekhnthineduxnmithunayn kh s 1998 emuxwnthi 28 tulakhm kh s 2000 thangtxnitkhxngekhtaednomsmbiklngipelknxy inxawkhxng nkpradananaluksamkhnkhux aela iddanalngipluk 104 emtraelakidphbehnplasilaaekhnthodyimidtngic klumthieriyktwexngwa klumsarwcplasilaaekhnthaexfrikait 2000 hwnklbmaphrxmxupkrnthayphaphaelasmachikephimetimxikhlaykhn odyinwnthi 27 phvscikayn hlngcakkardasarwckhrngaerkthiimprasbphlsaerc smachikthngsikhxngklum idaek aela idphbekhakbplasilaaekhnth 3 tw twthiihythisudyawpraman 1 5 1 8 emtr swnxiksxngtwmikhwamyawpraman 1 0 1 2 emtr plaehlaniwayipmaodymiswnhwdinglngduehmuxnwacahakinxyubriewnphnnghinthimiswnyunophlxxkma klumkhxngkhnapadananiklbkhunmaphrxmphaphwidioxaelaphaphthaykhxngplasilaaekhnth xyangirktamrahwangkardanannesxrfxnetiynidhmdstiaelaednnis hardingwy 34 piidphungophlphnphiwnakhunmainlksnakhxngkarkhadkarkhwbkhum hardingidbnwaecbthikhxaelaidesiychiwitipcakxakarphawaesneluxdxudtnkhnaxyubnerux swnesxrfxnethiynhaydihlngekharbkarrksaorkhldkhwamkd rahwangeduxnminakhm emsayn kh s 2002 aelathimpadanafrikkhidlngipinthaelluknxkchayfngaelaidsngektehnplasilaaekhnth 15 tw ekhruxngyngaebblukdxkthukichinkarekbtwxyangenuxeyuxkhxngpla aethnsaeniy mikarcbplasilaaekhnthidbriewnnxkchayfngkhxngaethnsaeniymatngaetpi kh s 2004 sxngtwaerkthukcbidineduxnsinghakhm kh s 2003 iklsnka exmnara Songa Mnara sungepnekaaelk bnkhxbmhasmuthrxinediy idrbraynganwainchwng 5 eduxnhlngcaknnphbxik 19 twminahnkrahwang 25 80 kiolkrmtidxwnkhunma rwmthungmikarcbidxiktwhnungineduxnmkrakhm kh s 2005 hnngsuxphimphraynganemuxpi kh s 2006 wamikarcbplasilaaekhnthidtwhnungthiminahnktwthung 110 kiolkrmthiediyw ecahnathicak okhrngkarxnurksaelaphthnaphunthichayfngaethngka sungmiaephnklyuththrayayawephuxpkpxngplasilaaekhnthniidehnkhwamsmphnthkhxngchwngewlakarthukcbdwykarlakxwnodyechphaaxyangyingeruxkhxngchawyipunthixyuiklthinthankhxngplasilaaekhnth ephiynginrayaimkiwnthieruxlakxwnsamarthcbplasilaaekhnthdwyxwnnalukthiichkbchlam karprakttwchwkhrngchwkhrawkhxngplasilaaekhnthnxkchayfngaethnsaeniyidephimkhwamkngwlicxnenuxngmacakkhwamesiyhaykhxngcanwnprachakrplasilaaekhnthinxnakht odyphlkrathbswnihyekidcakkarimruckaeykaeyawithikarlakxwnxxkcakkhwamesiyhaythicaekidkhunkbthinthankhxngplasilaaekhnth phuekharwmokhrngkarklawwa thnthithierahyudkarlakxwn erakcaimrbkwnplasilaaekhnthxiktxip kngay ephiyngaekhni phurwmngankhxngekha klawwaerakalngkddnrthbalaethnsaeniyihcakdkarlakxwn ekhaklawwa phmkhidwaerakhwrcachunchmyindikbphulakxwnthnghlay ephraawaekhathaiheraprackschdthungcanwnprachakrplathiepnexklksnaelanaprahladicni aeteratxngekhamaekiywkhxngdwykhwamhwnwaphwkekhacaekhamathalaysingthimikhaehlani eratxngkarihrthbalcakdkarlakxwnaelacdsrrthunwicythiehmaasmephuxeracaideriynruplasilaaekhnthidmakkwaniephuxpkpxngmn inraynganchbbhnungkhxngeduxnminakhm kh s 2008 klawwa karprachumxphiprayekiywkbthrphyakrthrrmchatikhxngaethnsaeniysungepnklumxngkhkrexkchnthxngthinidetuxnwaokhrngkarthiesnxthixacmiphlkhukkhamtxprachakrplasilaaekhnthinchayfngidxangxingpage 200 Weinberg Samantha 2006 A Fish Caught in Time the Search for the Coelacanth HarperCollins Publishers New York NY Iziko South African Museum Cape Town Nelson Joseph S 2006 Fishes of the World Inc ISBN 0471250317 Reuters 2007 Indonesian fisherman nets ancient fish Reuters UK 2007 05 21 subkhnemux 2007 07 16 Reuters 2007 Zanzibar fishermen land ancient fish Reuters UK 2007 07 15 subkhnemux 2009 12 13 page 73 Weinberg Samantha 2006 A Fish Caught in Time the Search for the Coelacanth HarperCollins Publishers New York NY Fricke Hans June 1988 Coelacanths The fish that time forgot National Geographic 173 6 824 828 Jewett Susan L On the Trail of the Coelacanth a Living Fossil The Washington Post 1998 11 11 Retrieved on 2007 06 19 Erdmann Mark V April 1999 An Account of the First Living Coelacanth known to Scientists from Indonesian Waters Environmental Biology of Fishes Springer Netherlands 54 4 439 443 doi 10 1023 A 1007584227315 S2CID 46211870 0378 1909 Print 1573 5133 Online Holder Mark T Mark V Erdmann Thomas P Wilcox Roy L Caldwell amp David M Hillis 1999 Two living species of coelacanths Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America 96 22 12616 12620 Bibcode 1999PNAS 9612616H doi 10 1073 pnas 96 22 12616 PMC 23015 PMID 10535971 Pouyaud L S Wirjoatmodjo I Rachmatika A Tjakrawidjaja R Hadiaty amp W Hadie 1999 Une nouvelle espece de coelacanthe preuves genetiques et morphologiques Comptes Rendus de l Academie des Sciences Serie III 322 4 261 267 Bibcode 1999CRASG 322 261P doi 10 1016 S0764 4469 99 80061 4 PMID 10216801 Inoue J G M Miya B Venkatesh M Nishida 2005 The mitochondrial genome of Indonesian coelacanth Latimeria menadoensis Sarcopterygii Coelacanthiformes and divergence time estimation between the two coelacanths Gene 349 227 235 doi 10 1016 j gene 2005 01 008 PMID 15777665 Ancient Indonesian fish is living fossil 2008 12 05 thi ewyaebkaemchchin Cosmos Online 2007 07 29 Dinosaur fish pushed to the brink by deep sea trawlers The Observer 2006 01 08 subkhnemux 2007 06 18 Does Tanga need a new harbour at Mwambani Bay 2010 09 12 thi ewyaebkaemchchin 2008 03 05 subkhnemux 2009 02 25 Population of prehistoric deep ocean coelacanth may go the way of the dinosaurs 2009 02 25 subkhnemux 2009 02 25