วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร อยู่ตรงข้ามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน เดิมชื่อ วัดหลวงกลางเวียง เจ้าผู้ครองนครน่าน พญาภูเข่ง เป็นผู้สร้างขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 1949 พระวิหารหลวงวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร เป็นวิหารขนาดใหญ่ รูปทรง สร้างตามสถาปัตยกรรม ทางภาคเหนือ ลักษณะภายในโอ่โถง ด้านหน้ามีสิงห์คู่ ยืนตรงเชิงบันได ด้านละตัว มีทางเข้า 3 ทาง ประตูกลาง ทำเป็นประตูใหญ่ และประตูเล็ก อยู่ด้านซ้ายและด้านขวา มีทางขึ้นเป็นประตูเล็ก ๆ ตรงข้ามพระประธาน ด้านทิศตะวันออกและตะวันตกอีก 2 ข้าง ทำหลังคาซ้อนกัน 2 ชั้น มุขลดด้านหน้า และด้านหลัง หน้าบัน ตีด้วยแผ่นกระดานเรียงต่อกัน แล้วประดับที่ขอบเสา ด้านหน้าทุกต้น ตามลักษณะ สถาปัตยกรรมล้านนาไทย ภายในพระวิหารกว้างขวาง มีเสาปูนกลมขนาดใหญ่ ขนาด 2 คนโอบรอบ จำหลัก ลวดลายปูนปั้นนูนสูงไว้ เหนือจากระดับพื้นพระวิหาร 1.50 เมตร เป็นลวดลาย กนกระย้าย้อย เหมือนลวดลาย ที่เสาในวิหารวัดภูมินทร์
วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร | |
---|---|
วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร | |
ชื่อสามัญ | วัดช้างค้ำ, วัดหลวงกลางเวียง |
ที่ตั้ง | ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน 55000 |
ประเภท | พระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดวรวิหาร |
นิกาย | เถรวาท มหานิกาย |
ส่วนหนึ่งของ |
ภายในวัดประดิษฐาน เจดีย์ช้างค้ำ ซึ่งเป็นศิลปสมัยสุโขทัย อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 รอบเจดีย์ มีรูปปั้นช้างปูนปั้น เพียงครึ่งตัวประดับอยู่โดยรอบ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปทองคำปางลีลา คือ พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนี ซึ่งเป็นทองคำ 65 % สูง 145 เซนติเมตร ยอดพระโมฬีทำเสริมเมื่อ พ.ศ. 2442 หนัก 69 บาท เจ้างั่วฬารผาสุม เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 14 แห่งราชวงค์ภูคา เป็นผู้สร้าง เมื่อวันพุธ เดือน 6 เหนือ พ.ศ. 1969 เป็นศิลปะสุโขทัย ประดิษฐานอยู่ที่หอพระไตรปิฎก ใหญ่ที่สุดในประเทศ
พระธาตุเจดีย์ช้างค้ำวรวิหาร เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีลิกธาตุไว้ภายใน นับเป็น ปูชนียสถาน สำคัญ เป็นเจดีย์ ที่ได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปะสุโขทัย จากเจดีย์ทรงลังกา คือเจดีย์วัดช้างล้อมนั่นเอง พระธาตุเจดีย์ สร้างด้วยอิฐถือปูน มีสัณฐานเป็นรูปสี่เหลื่ยมจัตุรัส ซ้อนกัน 3 ชั้น กว้างด้านละ 9 วา ฐานจากชั้นแรกสูงถึงชั้นสอง มีรูปช้างค้ำอยู่ในลักษณะ เหมือนฐานรองรับไว้ด้านละ 6 เชือก รวมทั้งหมด 24 เชือก ช้างแต่ละตัว โผล่ส่วนหัว ลอยออกมาครึ่งตัว ขาหน้าทั้งคู่ ยื่นพ้นออกมาจากเหลี่ยมฐาน เหนือขึ้นไปเป็นฐานปัทม์ (ฐานบัว) ซ้อนกัน 3 ชัน และเป็นองค์ระฆังแบบลังกา ต่อจากองค์ระฆัง ทำเป็นฐานเขียง รองรับมาลัยลูกแก้ว ลดหลั่นกันไป เป็นส่วนยอด ปัจจุบันพระธาตุเจดีย์ช้างค้ำ ได้รับการบูรณะซ่อมแซม และหุ้นด้วยแผ่นทองเหลืองทั้งองค์ มีความสวยงามมาก
หอไตรวัดช้างค้ำวรวิหาร สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ดังปรากฏในพระประวัติ ของพระองค์ว่า "ร.ศ. 127 พ.ศ. 2453 ก่อสร้างหอพระไตรปิฏก ในบริเวณวัดช้างค้ำ 1 หลัง 8 ห้อง ยาว 16 วา 1 ศอก กว้าง 5 วา 2 ศอก สูงตั้งแต่ดินถึงอกไก่ 13 วา หลังคาทำเป็นชั้น ๆ ก่ออิฐทาสี เครื่องบนไม้สัก มุงกระเบื้องไม้สัก ทำอย่างแน่นหนา มีเพดานจั่ว 2 ข้าง และเพดาน ทำด้วยลวดลายต่าง ๆ พระสมุห์อิน เจ้าอาวาสวัดหัวข่วง กับจีนอิ๋วจีนซาง เป็นสล่าสิ้นเงิน 12,558 บาท
ลักษณะโครงสร้างสถาปัตยกรรมมีลักษณะอย่างเดียวกับวิหารและโบสถ์ ตั้งอยู่ด้านหน้า คู่กับ พระวิหารหลวง อาคารก่ออิฐโบกปูน ยกพื้นสูงมีสิงห์ยืนอยู่ด้านหน้า ตรงเชิงบันใดด้านละ 1 ตัว ตั้งเสาราย รับหลังคาเชิงชายแทนผนัง และก่อผนังปิด ทำเป็นห้องไว้พระธรรม และพระไตรปิฏก ตรงแนวเสาที่รับคาน มีทางเข้าด้านหน้าเป็นประตูทางเดียว บานประตูสลักเป็นรูปเทวดา 2 องค์ และมีลายปูนปั้น เป็นรูปยอดปราสาท ทำเป็นชั้นติดหน้าต่างด้านละ 3 บาน ผนังด้านหลังปิดทึบ ด้านนอกสองข้างทาง ระหว่างเสารายและผนัง เป็นทางเดินถึงกันได้ตลอดโดยรอบ อาคารสูงหลังคาช้อน 3 ชั้น ไม่มีมุขลด ที่หน้าบัน ใช้แผ่นไม้เรียงต่อกัน เป็นแผ่นๆ ประดับลายปูนปั้น เป็นรูปกนกล้อพระยาครุฑ ระหว่างช่วงเสาประดับด้วยแผ่นไม้จำหลัก ลายกนก เป็นรูปสามเหลี่ยม สลับลายพุ่มข้าวบิณฑ์คว่ำ และรูปพระยาครุฑห้อยลงมาตามแบบสถาปัตยกรรมของล้านนา ภายในมีลักษณะส่วนกว้างแคบ ส่วนยาวลึก เข้าไปภายใน และส่วนสูงชะลูดขึ้นไปมาก ใช้เป็นที่เก็บ พระไตรปิฏก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นใบลาน จารอักษรตัวธรรมมีอยู่เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันได้ปรับปรุงเป็นวิหาร ใช้เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมนี
งานประจำปี
ประเพณีทานสลากภัตร (ตานก๋วยสลาก)
อ้างอิง
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
wdphrathatuchangkhawrwihar xyutrngkhamphiphithphnthsthanaehngchatinan edimchux wdhlwngklangewiyng ecaphukhrxngnkhrnan phyaphuekhng epnphusrangkhun emuxpi ph s 1949 phrawiharhlwngwdphrathatuchangkhawrwihar epnwiharkhnadihy rupthrng srangtamsthaptykrrm thangphakhehnux lksnaphayinoxothng danhnamisinghkhu yuntrngechingbnid danlatw mithangekha 3 thang pratuklang thaepnpratuihy aelapratuelk xyudansayaeladankhwa mithangkhunepnpratuelk trngkhamphraprathan danthistawnxxkaelatawntkxik 2 khang thahlngkhasxnkn 2 chn mukhlddanhna aeladanhlng hnabn tidwyaephnkradaneriyngtxkn aelwpradbthikhxbesa danhnathuktn tamlksna sthaptykrrmlannaithy phayinphrawiharkwangkhwang miesapunklmkhnadihy khnad 2 khnoxbrxb cahlk lwdlaypunpnnunsungiw ehnuxcakradbphunphrawihar 1 50 emtr epnlwdlay knkrayayxy ehmuxnlwdlay thiesainwiharwdphuminthrwdphrathatuchangkhawrwiharwdphrathatuchangkhawrwiharchuxsamywdchangkha wdhlwngklangewiyngthitngtablinewiyng xaephxemuxngnan cnghwdnan 55000praephthphraxaramhlwng chntri chnidwrwiharnikayethrwath mhanikayswnhnungkhxngsaranukrmphraphuththsasna phayinwdpradisthan ecdiychangkha sungepnsilpsmysuokhthy xayupramanphuththstwrrsthi 20 rxbecdiy miruppnchangpunpn ephiyngkhrungtwpradbxyuodyrxb nxkcakniyngmiphraphuththrupthxngkhapanglila khux phraphuththnnthburisrisakymuni sungepnthxngkha 65 sung 145 esntiemtr yxdphraomlithaesrimemux ph s 2442 hnk 69 bath ecangwlarphasum ecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 14 aehngrachwngkhphukha epnphusrang emuxwnphuth eduxn 6 ehnux ph s 1969 epnsilpasuokhthy pradisthanxyuthihxphraitrpidk ihythisudinpraeths phrathatuecdiychangkhawrwihar epnthipradisthanphrabrmsarilikthatuiwphayin nbepn puchniysthan sakhy epnecdiy thiidrbxiththiphlthangdansilpasuokhthy cakecdiythrnglngka khuxecdiywdchanglxmnnexng phrathatuecdiy srangdwyxiththuxpun misnthanepnrupsiehluymcturs sxnkn 3 chn kwangdanla 9 wa thancakchnaerksungthungchnsxng mirupchangkhaxyuinlksna ehmuxnthanrxngrbiwdanla 6 echuxk rwmthnghmd 24 echuxk changaetlatw ophlswnhw lxyxxkmakhrungtw khahnathngkhu yunphnxxkmacakehliymthan ehnuxkhunipepnthanpthm thanbw sxnkn 3 chn aelaepnxngkhrakhngaebblngka txcakxngkhrakhng thaepnthanekhiyng rxngrbmalylukaekw ldhlnknip epnswnyxd pccubnphrathatuecdiychangkha idrbkarburnasxmaesm aelahundwyaephnthxngehluxngthngxngkh mikhwamswyngammak hxitrwdchangkhawrwihar srangkhuninsmyphraecasuriyphngsphritedch dngpraktinphraprawti khxngphraxngkhwa r s 127 ph s 2453 kxsranghxphraitrpitk inbriewnwdchangkha 1 hlng 8 hxng yaw 16 wa 1 sxk kwang 5 wa 2 sxk sungtngaetdinthungxkik 13 wa hlngkhathaepnchn kxxiththasi ekhruxngbnimsk mungkraebuxngimsk thaxyangaennhna miephdancw 2 khang aelaephdan thadwylwdlaytang phrasmuhxin ecaxawaswdhwkhwng kbcinxiwcinsang epnslasinengin 12 558 bath lksnaokhrngsrangsthaptykrrmmilksnaxyangediywkbwiharaelaobsth tngxyudanhna khukb phrawiharhlwng xakharkxxithobkpun ykphunsungmisinghyunxyudanhna trngechingbniddanla 1 tw tngesaray rbhlngkhaechingchayaethnphnng aelakxphnngpid thaepnhxngiwphrathrrm aelaphraitrpitk trngaenwesathirbkhan mithangekhadanhnaepnpratuthangediyw banpratuslkepnrupethwda 2 xngkh aelamilaypunpn epnrupyxdprasath thaepnchntidhnatangdanla 3 ban phnngdanhlngpidthub dannxksxngkhangthang rahwangesarayaelaphnng epnthangedinthungknidtlxdodyrxb xakharsunghlngkhachxn 3 chn immimukhld thihnabn ichaephnimeriyngtxkn epnaephn pradblaypunpn epnrupknklxphrayakhruth rahwangchwngesapradbdwyaephnimcahlk layknk epnrupsamehliym slblayphumkhawbinthkhwa aelarupphrayakhruthhxylngmatamaebbsthaptykrrmkhxnglanna phayinmilksnaswnkwangaekhb swnyawluk ekhaipphayin aelaswnsungchaludkhunipmak ichepnthiekb phraitrpitk sungswnihyepniblan carxksrtwthrrmmixyuepncanwnmak pccubnidprbprungepnwihar ichepnthipradisthan phraphuththnnthburisrisakymninganpracapipraephnithanslakphtr tankwyslak xangxingbthkhwamwdhruxphuththsasnsthanniyngepnokhrng khunsamarthchwywikiphiediyidodykarephimetimkhxmuldk