พุทธจริต หรือ "จริยาแห่งพระพุทธองค์" มหากาพย์ภาษาสันสกฤต รจนาโดยพระอัศวโฆษ คาดว่ารจนาขึ้นในราวช่วงต้นศตวรรษที่ 2 ปัจจุบันเหลืออยู่ 28 สรรค 14 สรรคแรกเหลือสมบูรณ์ดีในภาษาสันสกฤต ส่วนสรรคที่ 15 ถึง สรรค 28 อยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ ทั้งนี้ พระอัศวโฆษผู้ประพันธ์ได้ใช้ฉันทลักษณ์ 10 ชนิดในการประพันธ์ อาทิ ตริษฏุภฉันท์ อนุษฎุภฉันท์ วังสัสถฉันท์ เอาปัจฉันทสิกฉันท์ เป็นต้น
ในปีค.ศ. 420 พระธรรมเกษม แปลพุทธจริตในภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีน ต่อมาในราวศตวรรษที่ 7 หรือราวศตวรรษที่ 8 ได้มีการแปลเป็นภาษาทิเบต และได้รับการยอมรับว่า มีความใกล้เคียงกับต้นฉบับภาษาสันสกฤตมากกว่าฉบับแปลภาษาจีน
ผู้แต่ง
ผู้แต่งมหากาพย์พุทธจริต คือพระอัศวโฆษ ผู้ได้รับยกย่องเป็นมหากวีและเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียง คาดว่าท่านมีช่วงชีวิตอยู่ระหว่างปีค.ศ. 80–150 ท่านเป็นบุตรของนางสุรรณกษี เกิดที่เมืองสาเกต แต่เดิมนับถือพราหมณ์และได้รับการศึกษาแบบพราหมณ์จนมีความเชี่ยวชาญในไตรเพท ภายหลังหันมานับถือพระพุทธศาสนาโดยบวชเป็นภิกษุในนิกายสรวาสติวาท ด้วยความที่ท่านเป็นทั้งปราชญ์และเป็นทั้งกวี เมื่อบวชแล้วจึงมีคำนำหน้าชื่อมากมาย เช่น ภิกษุ อาจารย์ ภทันตะ มหากวี และมหาวาทิน
พระอัศวโฆษเป็นผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งในยุคเริ่มต้นของนิกายมหายาน มีผลงานมากมายทั้งด้านปรัชญาศาสนา บทละครและกวีนิพนธ์ ผลงานที่สำคัญทางปรัชญาและศาสนา เช่น สูตราลังการะ มหายานศรัทโธตปาทะ วัชรสูจี คัณฑีสโตรตระ ที่เป็นบทละคร เช่นราษฎรปาละ ศาริปุตรปรกรณัม และที่เป็นกวีนิพนธ์ เช่นมหากาพย์เสานทรนันทระ และมหากาพย์พุทธจริต เป็นต้น นอกจากจะรจนางานเขียนไว้หลายเล่มแล้วอัศวโฆษยังเดินทางท่องเที่ยวไปพร้อมกับสานุศิษย์และนักดนตรีเพื่อขับลำนำอันเป็นเรื่องราวแห่งพระพุทธศาสนาและความไร้แก่นสารของชีวิตในที่ชุมนุมต่าง ๆ เพื่อป่าวประกาศคุณค่าอันล้ำเลิศแห่งพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา ชนทั้งหลายที่สัญจรไปเมื่อได้ฟังต่างหยุดนิ่งอยู่กับที่เพราะถูกตรึงไว้ด้วยน้ำเสียงและท่วงทำนองที่ไพเราะจับใจ
ครั้งหนึ่ง กษัตริย์แห่งแคว้นกุษาณะได้รุกรานมัธยมประเทศ จนถึงเมืองปาฏลีบุตร จนกษัตริย์แห่งมัธยมประเทศต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามแก่กษัตริย์แคว้นกุษาณะเป็นทองคำ 300,000 เหรียญ ทว่า กษัตริย์แห่งมัธมประเทศมีเพียง 100,000 เหรียญ ฝ่ายกุษาณะจึงเรียกร้องเพียงเท่านั้น แต่ค่าปฏิกรรมสงครามที่ติดค้างไว้ ต้องแลกเปลี่ยนโดยการมอบบาตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับพระอัศวโฆษ ต่อมาเหล่าเสนามมาตย์เกิดความกังขาเหตุใดพระอัศวโฆษจึงมีค่าถึง 100,000 เหรียญ กษัตริย์แห่งแคว้นกุษาณะจึงได้ขังอัศวชาติตัวหนึ่งไว้เป็นเวลา 6 วันจนหิวโหย จากนั้น จึงปล่อยออกมา แล้ววางหญ้าชั้นเลิศไว้ตรงหน้า พร้อมกับอาราธนาพระอัศโฆษให้แสดงธรรม ปรากฏว่า อัศวชาติตัวนั้นมิได้แตะต้องหญ้าชั้นเลิศแม้นจะหิวโหยเพียงใด แต่กลับสดับพระธรรมเทศนาด้วยน้ำตานองหน้า นับแต่บัดนั้นเสนามาตย์และมหาชนต่างซาบซึ้งศรัทธาในตัวพระเถระยิ่งนัก จึงถวายสมัญญานามแก่ท่านว่า "อัศวโฆษ" อันหมายความว่า แม้แต่อัศวชาติยังต้องร่ำไห้โหยหวนยามสดับพระธรรมเทศนาของท่าน
เนื้อหา
สรรคที่ 1 ภควตฺปฺรสูติ – การประสูติของพระผู้มีพระภาค กล่าวถึงพระเจ้าศุทโธทนะทรงครองเมืองกปิลวาสตุและพระนางมายาพระมเหสีของพระองค์ได้ประสูติพระกุมารที่ลุมพินีวัน พระกุมารทรงดำเนินได้ 7 ก้าวพร้อมกับประกาศว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย คณะพราหมณ์ ทำนายว่าพระกุมารได้เป็นจักรพรรดิแต่ถ้าออกผนวชจะได้เป็นพระศาสดา ส่วนอสิตฤษีที่มาเยี่ยมภายหลัง ทำนายว่าพระกุมารจะได้ตรัสรู้เป็นพระศาสดาแน่นอน พระราชาทรงเปี่ยมล้นด้วยความปิติยินดีจึงได้ประกอบพิธีทางศาสนาและพระราชทานโคจำนวนมากเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระกุมาร จากนั้นจึงรับพระกุมารกลับสู่พระนคร
สรรคที่ 2 อนฺตะปุรวิหาร – การประทับอยู่ในพระราชวังฝ่ายใน กล่าวถึงเมืองกปิลวาสตุมีความอุดมสมบูรณ์และมีความสำเร็จทุกประการหลังจากพระกุมารประสูติ พระเจ้าศุทโธทนะจึงขนานพระนามพระกุมารว่า “สรวารถสิทธะ” เมื่อพระมารดาสวรรคต พระนางเคาตมีพระมาตุจฉาได้รับภาระเลื้ยงดูพระกุมารต่อมา พระเจ้าศุทโธทนะทรงเกรงว่าพระกุมารจะออกผนวชจึงจัดให้อภิเกสมรสกับเจ้าหญิงยโศธราและบำรุงบำเรอด้วยกามารมณ์ทุกชนิด ครั้นเมื่อพระราหุลประสูติจากเจ้าหญิงยโศธรา พระราชาจึงทรงคลายกังวลเรื่องการออกผนวชของพระกุมาร
สรรคที่ 3 สํเวโคตฺปตฺติ – การเกิดความสังเวช กล่าวถึงพระกุมารเสด็จประพาสภายนอกพระราชวัง ประชาชนต่างตื่นเต้นดีใจ๑๙ เทวดาชั้นสุทธาวาสได้เนรมิตชายชราขึ้นมาให้ทอดพระเนตร พระองค์ทรงสังเวชพระทัยจึงเสด็จกลับ เสด็จครั้งที่2 เทวดาได้เนรมิตคนเจ็บขึ้นมาทรงสังเวชพระทัยก็เสด็จกลับอีก ครั้งที่3 พระราชบิดารับสั่งให้แต่งสถานที่พิเศษไว้โดยให้หญิงงามผู้เชียวชาญเชิงโลกีย์คอยต้อนรับ ครั้งนี้พระกุมารทอดพระเนตรเห็นคนตายที่เทวดาเนรมิตขึ้นมาก็ทรงสังเวชพระทัย จึงรับสั่งให้กลับรถ แต่สารถีก็ไม่เชื่อฟังขับรถตรงไปยังป่าที่เตรียมไว้และหญิงงามทั้งหลายได้เข้ารุมล้อมพระกุมารเหมือนกันนางอัปสรรุมล้อมท้าวกุเวร
สรรคที่ 3 สตฺรีวิฆาตน – การขจัดความหลงใหล กล่าวถึงหญิงงามทั้งหลายเดินเข้าหาพระกุมารแต่ก็ต้องตกตะลึงในความงามของพระองค์จนลืมทำหน้าที่ อุทายีบุตรของปุโรหิตจึงกล่าวเตือนหญิงเหล่านั้น เมื่อได้สติหญิงเหล่านั้นจึงใช้มายายั่วยวนพระกุมาร แต่พระองค์ก็ไม่ทรงยินดี อุทายีจึงกราบทูลโน้มน้าวพระทัยด้วยตนเองเพื่อให้พระกุมารโอนอ่อนผ่อนตามหญิงเหล่านั้น พระกุมารทรงปฏิเสธคำพูดของอุทายีด้วยเหตุผลต่าง ๆ จนกระทั่งพระอาทิตย์อาสดงคต หญิงทั้งหลายยอมแพ้กลับเข้าสู่เมือง ฝ่ายพระราชาทรงบทราบเรื่องจึงปรึกษากับอำมาตย์เพื่อหาวิธียับยั้งพระกุมารตลอดทั้งคืน
สรรคที่ 5 อภินิษฺกรมณ – การเสด็จของผนวช กล่าวถึงพระกุมารเสด็จประพาสป่าและทอดพระเนตรชาวนาให้วัวไถนาและมีแมลงตายเกลื่อนกลาดจึงสลดพระทัย พระองค์ทรงห้ามผู้ติดตามไว้แล้วเสด็จไปประทับใต้ต้นหว้าทรงมีพระทัยเป็นสมาธิจนได้ปฐมฌาน ขณะนั้นเทวดาแปลงร่างเป็นสมณะเดินผ่านมา พระองค์ทรงสนทนากันสมณะนั้นแล้วเกิดปิติจึงปรารถนาจะออกผนวช เมื่อกลับไปขออนุญาตก็ถูกพระราชบิดาห้ามปราม ในราตรีเทวดาชั้นอกนิษฐกะบันดาลให้นางสนมนอนหลับไม่เป็นระเบียบ พระกุมารทรงเบื่อหน่ายจึงเสด็จลงจากปราสาทและทรงม้ากันถกะหนึออกผนวชโดยมีนายฉันทกะตามเสด็จ ม้ากันถกะวิ่งออกโดยมียักษ์ช่วยยกกีบเท้า ประตูที่แน่นหนาเปิดออกเอง ทวยเทพก็ส่องแสงนำทางตลอดราตรี ม้ากันถกะนำพระกุมารทะยานไปได้หลายร้อยโยขน์จนกระทั่งรุ่งอรุณ
สรรคที่ 6 ฉนฺทกนิวรฺตน – การกลับนครของฉันทกะ กล่าวถึงพระกุมารเสด็จถึงอาศรมของฤษีภารควะตอนรุ่งสางทรงเปลื้องเครื่องประดับแก่นายฉันทกะและรับสั่งให้นำม้ากันถกะกลับสู่นครพร้อมกับนำความไปกราบทูลพระราชบิดา จากนั้นพระกุมารทรงตัดพระเกศาโยนขึ้นบนท้องฟ้า เทวดารับเอาพระเกศานั้นไปบูชาบนสวรรค์ เมื่อทรงปรารถนาผ้าผ้อมน้ำฝาดเทวดาตนหนึ่งได้แปลงร่างเป็นนายพรานนุ่งผ้าย้อมน้ำฝาดผ่านมา พระองค์ทรงแลกเปลี่ยนผ้ากับนายพรานแล้วเสด็จเข้าไปยังอาศรมฤษีภารควะ ฝ่ายนายฉันทกะร้องไห้และล้มฟุบลงบนพื้น จากนั้นจึงกอดม้ากันถกะเดินทางกลับสู่นครโดยบ่นเพ้อและแสดงอาการเหมือนคนบ้าไปตลอดทาง
สรรคที่ 7 ตโปวนปฺรเวศ – การเสด็จเข้าสู่ป่าบำเพ็ญตบะ กล่าวถึงพระกุมารเสด็จเข้าสู่อาศรมของฤษีภารควะและทรงได้รับการเชื้อเชิญจากฤษี ทรงสอบถามเรื่องการบำเพ็ญตบะของฤษีทั้งหลาย เมื่อได้รับคำอธิบายก็ไม่ทรงยินดีด้วยวิธีเหล่านั้นเพราะทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางหลุดพ้น พระกุมารประทับอยู่ 2-3 วัน ฤษีตนหนึ่งทราบว่าพระกุมารต้องการโมกษะจึงแนะนำให้ไปพบพระมุนีอราฑะ พระกุมารทรงอำลาฤษีทั้งหลายเล้วจึงเสด็จหลีกไป
สรรคที 8 อนฺตะปุรวิลาป – การพิลาปรำพันของพระสนมฝ่ายใน กล่าวถึงนายฉันทกะฝืนใจเดินทางกลับสู่นครโดยใช้เวลาถึง 8 วัน ชาวเมืองทราบว่านายฉันทกะกลับมาโดยไม่มีพระกุมารจึงดุด่าว่านายฉันทกะ ในพระราชวังพระนางยโศธราทรงพิลาปรำพันถึงพระสวามี พระนางเคาตมีก็ทรงกันแสงปานจะสิ้นพระทัย หญิงทั้งหลายก็กอดกันร้องไห้ พระนางยโศธราทรงกันแสงและล้มฟุบลงกับพื้น ฝ่ายพระราชาเสด็จออกมาเห็นเหตุการณ์ก็ทรงกำสรวลจนถึงแก่วิสัญญีภาพ เมื่อทรงฟื้นขึ้นก็ทรงพร่ำเพ้อเหมือนคนเสียสติ พระราชครูและปุโรหิตจึงทูลอาสาออกติดตามพระกุมาร
สรรคที่ 9 กุมารานฺเวษณ – การติดตามค้นหาพระกุมาร กล่าวถึงพระราชครูและปุโรหิตเร่งเดินทางไปจนถึงอาศรมของฤษีภารควะและเข้าไปสอบถาม เมื่อรู้ว่าพระกุมารเสด็จมุ่งหน้าไปยังอาศรมของพระมุนีอราฑะจึงออกติดตามไปทันที ทั้งสองตามทันพระกุมารที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งได้กราบทูลให้ทราทราบข่าวในพระราชวัง พระกุมารตรัสว่าที่ทรงออกผนวชเพราะกลัวชรา พยาธิ และมรณะและจะแสวงหาทางหลุดพ้นเพื่อช่วยเหลือชาวโลกให้ได้ พระราชครูและปุโรหิตได้ทูลชักชวนพระกุมารกลับ แต่พระกุมารทรงปฏิเสธ เมื่อเห็นว่าไม่สำเร็จทั้งสองจึงอำลากลับสู่เมืองโดยได้แต่งตั้งจารบุรุษไว้คอยสืบเส้นทางที่พระกุมารเสด็จไป
สรรคที่10 เศฺรณฺยาภิคมน – การเข้าเผ้าของพระเจ้าเศรณยะ กล่าวถึงพระกุมารเสด็จข้าแม่น้ำคงคาผ่านเข้าสู่เมืองราชคฤห์ที่มีภูเขาทั้งห้าแวดล้อม ชาวเมืองตื่นตะลึงบในความงามของพระองค์จึงพากันชุมนุมตามเฝ้าดู พระเจ้าเศรณยะทอดพระเนตรเห็นคนชุมนุมกันจากเบื้องบนปราสาทจึงตรัสถามจนทราบสาเหตุ พระองค์จึงเสด็จไปเฝ้าพระกุมารขนภูเขาปาณฑวะและทรงเชื้อเชิญให้อยู่ครองราชย์สมบัติครึ่งหนึ่ง แต่พระกุมารทรงปฏิเสธและไม่ทรงยินดี
สรรคที่ 11 กามวิครฺหณ – การขจัดความหลงใหลในกาม กล่าวถึงพระกุมารโพธิสัตว์ทรงปฏิเสธคำเชื้อเชิญของพระเจ้าเศรณยะ ทรงอธิบายให้เห็นโทษของกามและอานิสงส์ในการออกจากกามตลอดจนความปรารถนาโมกษะ พระเจ้าเศรณยะทรงซาบซึ้งพระทัยจึงขอให้พระองค์เสด็จมาโปรดเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว พระกุมารโพธิสัตว์ทรงรับโดยดุษณีภาพแล้วเสด็จต่อไปยังอาศรมไวศวัมตระ ฝ่ายพระราชาก็เสด็จกลับสู่พระราชวัง
สรรคที่12 อรฑทรฺศน – ทรรศนะของพระมุนีอราฑะ กล่าวถึงพระกุมารโพธิสัตว์เสด็จถึงอาศรมของพระมุนีอราฑะและได้รับการต้อนรับอย่างดี พระมุนีอราฑะได้อธิบายทรรศนะของตนแก่พระกุมารโพธิสัตว์ พรองค์ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางตรัสรู้จึงหลึกไปสู่อาศรมขอพระมุนีอุทรกะ แต่แล้วก็ทรงปฏิเสธทรรศนะของพระมุนีอุทรกะอีก จากนั้นจึงเสด็จไปประทับที่ตำบลคยะ ณ ริมฝั่งแม่น้ำไนรัญชนา ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นเวลา 6 ปี โดยมีปัญจวัคคีย์ฝากตัวเป็นศิษย์ เมื่อทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางจึงเลิกเสีย ครั้งนั้นเทวดาดลใจนางนันทพลาธิดาหัวหน้าคนเลี้ยงโคให้นำข้าวปรายาสมาถวาย ปัญจวัคคีย์เห็นพระองค์เสวยพระกระยาหารจึงหนีจากพระองค์ จากนั้นพระองค์จึงเสด็จไปสู่โคนต้นอัศวัตถพฤกษ์ทรงรับหญาคาจากคนตัดหญ้าและปูลาดเป็นอาสนะประทับนั่งตั้งปณิธานมู่งสู่การตรัสรู้
สรรคที่ 13 มารวิชย – การชนะมาร กล่าวถึงพระกุมารโพธิสัตว์ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะตรัสรู้ ฝ่ายพญามารจึงพร้อมด้วยบุตรและธิดาเข้าไปรบกวนพระกุมารโพธิสัตว์ เมื่อพระองค์ไม่ทรงหวั่นไหวพญามารจึงยิงศรเข้าใส่ แต่ศรก็มิอาจทำร้ายพระองค์ได้ พญามารจึงนึกถึงกองทัพของตน เหล่าเสนามารจึงมาปรากฏตัว ขณะนั้นท้องฟ้ามืดสนิท การต่อสู้ระหว่างพญามารกันพระกุมารโพธิสัตว์เริ่มขึ้น เกิดแผ่นดินไหว มหาสมุทรสั่นสะเทือน งูใหญ่เห็นอปุสรรคก็ออกมาขู่ฟ่อ ๆ ทวยเทพก็ร้องไห้ฮือ ๆ เมื่อพญามารเคลื่อนทันเข้าโจมตีด้วยวิธีต่าง ๆ พระกุมารโพธิสัตว์ก็ไม่ทรงสะดุ้งกลัว ในที่สุดพญามารและเสนามารก็ล่าถอย ทัองฟ้าและพระจันทร์ก็สว่างสดใส ฝนโบกขรพรรษาที่มีกลิ่นหอมก็โปรยปรายลงมา
สรรคที่ 14 พุทฺธตฺวรปฺราปฺติ – การบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า กล่าวถึงพระกุมารโพธิสัตว์ทรงเข้าฌานมุ่งสู่การตรัสรู้ เมื่อพระองค์บรรลุพระสัพพัญญูตญาณ โลกสั่นสะเทือน ชาวโลกต่างก็มีความสุข เทวดาก็สาธุการ พระองค์ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขอยู่ 7 วัน ทรงเห็นว่าพระธรรมลึกซึ้งยากที่จะเข้าใจจึงดำริที่จะไม่สั่งสอน พระอินทร์และพระพรหมจึงมาทูลของอาราธนา ต่อมาพระองค์ทรงดำริที่จะไปโปรดพระมุนีอราฑะและอุทรกะแต่ทั้งสองเสียชีวิตไปก่อนจึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ จากนั้นจึงเสด็จดำเนินไปยังแคว้นกาศี
สรรคที่ 15 การประกาศพระธรรมจักร กล่าวถึงพระพุทธองค์เสด็จไปยังแคว้นกาศีเพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ ฝ่ายปัญจวัคคีย์เมื่อเห็นพระองค์เสด็จมาแต่ไกล ได้ตกลงกันว่าจะไม่ถวายการต้อนรับ แต่แล้วก็ลืมข้อตกลงที่ทำกันไว้ ทุกคนต่างลุกขึ้นต้อนรับพระองค์ พระพุทธองค์ตรัสว่าพระองค์ตรัสรู้แล้ว จากนั้นจึงทรงแสดงอริยมรรคมีองค์แปดและอริยสัจสี่ ในจำนวนนั้นเกาณฑินยะได้ดวงตาเห็นธรรม ยักษ์ที่อาศัยอยู่บนพื้นปฐพีจึงป่าวประกาศข่าว เมื่อวงล้อแห่งธรรมหมุนไปในไตรโลก เทวดาทั้งหลายก็เปล่งเสียงสาธุการ
สรรค 16 ธารศรัทธาแห่งพุทธสาวก กล่าวถึงพระพุทธองค์ทรงเทศนาโปรดอัศวชิตและโปรดยศกุลบุตรพร้อมด้วยสหาย 54 คนจนบรรลุพระอรหัตผลแล้วจึงทรงส่งไปประกาศพระศาสนาในที่ต่าง ๆ ส่วนพระองค์เสด็จไปโปรดฤษีกาศยปะ 3 พี่น้องพร้อมด้วยบริวารที่ตำบลคยะจนบรรลุอรหัตผลทั้งหมด จากนั้นจึงเสด็จไปโปรดพระเจ้าเศรณยะพิมพิสาร พระราชาเสด็จมาเฝ้าพร้อมด้วยบริวาร ชาวเมืองเห็นพระกาศยปะ 3 พี่น้องอยู่กับพระพุทธองค์ก็แปลกใจ พระพุทธองค์จึงโปรดให้พระเอารุวิลวะกาศยปะแสดงปาฏิหาริย์ พระกาศยปะเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้าแสดงฤทธิ์ด้วยการยืน เดิน นั่ง นอน ในอากาศ พ่นน้ำและไฟออกมาพร้อมกัน จากนั้นจึงลงมาถวายบังคมและประกาศว่าตนเป็นศาย์ของพระพุทธองค์ เมื่อดินถูกเตรียมไว้ดีแล้วพระพุทธองค์จึงเทศนาโปรดพระราชาและบริวารจนได้ดวงตาเห็นธรรม
สรรค 17 การบรรพชาของมหาสาวก กล่าวถึงพระเจ้าเศรณยะพิมพิสารทรงถวายพระเวณุวันเป็นพระอารามแห่งแรกแด่พระพุทธองค์ พระอัศวชิตเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ อุปติษยะเห็นพระอัศวชิตเดินสำรวมน่าเลื่อมใสจึงติดตามไปเพื่อสนทนาธรรม พระอัศวชิตกล่าวสั้น ๆ ว่า ผลทุกอย่างเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับผลก็ดับ อุปติษยะได้ฟังก็เกิดดวงตาเห็นธรรมละทิ้งลัทธิเดิมของตนและนำความไปบอกเมาทคลโคตรผู้เป็นสหายจนได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน จากนั้นจึงชวนกันไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อขอบวช ภายหลังทั้งสองได้เป็นอัครสาวกของพระพุทธองค์ ต่อมาพราหมณ์กาศยปะได้ละทิ้งทรัพย์และภรรยาออกแสวงหาความหลุดพ้นได้มาพบพระพุทธองค์ที่เจดีย์พหุปุตรกะจึงน้อมตนเข้าไปเฝ้า พระพุทธองค์ทรงเทศนาโปรดจนบรรลุอรหัตผล ครั้งนั้นพระพุทธองค์ประทับอยู่ท่ามกลางพระสาวกทั้ง 3 ดุจพระจันทร์เพ็ญลอยอยู่ท่ามกลางดาวฤกษ์ 3 ดวงในเดือนชเยษฐา (เดือน7)
สรรคที่ 18 การโปรดเศรษฐีอนาถปิณฑิทะ กล่าวถึงเศรษฐีสุทัตตะเดินทางจากแคว้นโกศลไปค้าขายที่เมืองราชคฤห์และได้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ในเวลากลางคืน พระพุทธองค์ทรงเทศนาโปรดจนเศรษฐีได้บรรลุโสดาปัตติผล ปรับเปลี่ยนแนวคิดจากความเชื่อเดิม ๆ โดยเฉพาะประกฤติและปุรุษ เศรษฐีมีศรัทธาปรารถนาจะสร้างพระวิหารถวายที่เมืองศราวัสตีจึงทูลอาราธนาให้พระองค์เสด็จไปโปรด ต่อมาเศรษฐีเดินทางกลับไปเมืองศราวัสตีพร้อมด้วยพระอุปติษยะเพื่อสร้างพระวิหารเมื่อได้ไปถึงได้ขอซึ้ออุทยานจากพระราชกุมารเชตะโดยนำทรัพย์มาปูลาดจนเต็มอุทยาน พระกุมารเชตะทรงเลื่อมใสในศรัทธาของเศรษฐีจึงอุทิศป่าทั้งหมดถวายพระพุทธองค์ด้วย เศรษฐีสร้างพระเชตะวันวิหาร โดยมีพระอุปติษยะควบคุมการก่อสร้างจนพระวิหารแล้วเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว
สรรค 19 การโปรดพระพุทธบิดาและพระโอรส กล่าวถึงพระพุทธองค์เสด็จจากเมืองราชคฤห์ไปยังเมืองกปิลวาสตุโดยมีพระภิกษุ 1000 รูปตามเสด็จ พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดาจนทรงเลื่อมใส มหาชนและพระกุมารที่ศรัทธาต่างพากันออกผนวชตามมากมาย เช่น อานันทะ อนิรุทธะ เทวทัตตะ เป็นต้น ครั้งนั้นอุทายีและอุบาลีก็ออกบวชตามด้วย พระเจ้าศุทโธทนทรงสละราชสมบัติให้พระอนุชาปกครองและประทับอยู่ในพระราชวังอย่างราชฤษี ฝ่ายพระพุทธองค์ก็ได้เสด็จไปประทับที่ป่านยโครธะ
สรรคที่20 การรับพระวิหารเชตะวัน กล่าวถึงพระพุทธองค์ทรงโปรดชาวเมืองกปิลวาสตุแล้วได้เสด็จไปยังเมืองศราวัสตีของพระเจ้าปเสนชิตพร้อมด้วยพระสงฆ์หมู่ใหญ่ ครั้นเสด็จถึงเศรษฐีสุทัตตะได้ถวายพระเชตะวันวิหารเป็นที่ประทับ พระเจ้าประเสนชิตเสด็จไปเฝ้าสนทนาธรรม ณ พระเชตะวันวิหาร ทรงแสดงธรรมโปรดพระราชาจนเลื่อมใสอย่างมาก ฝ่ายเดียรถีย์ขาดลาภสักการะเพราะพระราชาหันมานับถือพระพุทธองค์จึงท้าทายให้แสดงปาฏิหาริย์ พระองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ปราบเจ้าลัทธิทั้งหลายแล้วได้เสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาและประทับจำพรรษาบนสวรรค์ คั้นออกพรรษาแล้วจึงเสด็จลงจากเทวโลกที่เมืองสังกาศยะ
สรรคที่ 21 สายธารแห่งการบรรพชา กล่าวถึงพระพุทธองค์เสด็จโปรดประชาชน เช่น ทรงโปรดชโยติษกะและหมอชีวกที่กรุงราชคฤห์ ทรงโปรดพระเจ้าอชาตศัตรูที่ชีวกัมวัน และทรงโปรดบุคคลต่าง ๆ ในสถานที่ต่าง ๆ มากมาย พระเทวทัตเห็นความยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ก็บังเกิดความริษยาจึงคิดทำร้ายพระพุทธองค์ โดยการกลิ้งหินที่เขาคฤธรกูฏและปล่อยช้างตกมันเพื่อทำร้ายพระพุทธองค์ แต่ก็มิอาจทำร้ายพระองค์ได้ พระเจ้าอชาตศัตรูจึงบังเกิดความเสือมใสในพระพุทธองค์เป็นอย่างยิ่ง ครั้งนั้นพระเกียรติยศของพระพุทธองค์ได้แผ่ขจรขจายไปทั่วทุกทิศ ส่วนพระเทวทัตมีแต่ความอับเฉา
สรรคที่ 22 การเสด็จเยือนอัมรปาลีวัน กล่าวถึงพระพุทธองค์เสด็จจากเมืองราชคฤห์ไปยังเมืองปาฏลิบุตรประทับที่เจดีย์ปาฏลิ ที่แห่งนั้นเสนาบดีวรษการะสร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันการรุกรานของชาวลิจฉวี พระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นทวยเทพนำทรัพย์สมบัติมาเก็บไว้จึงพยากรณ์ว่าเมืองนี้จะโด่งดังในอนาคต เมื่อเสด็จต่อไปจนถึงฝั่งแม่น้ำคงคาพระพุทธองค์ได้ทรงนำหมู่ภิกษุเหาะข้ามแม่น้ำคงคา จากนั้นจึงเสด็จต่อไปยังหมู่บ้านกุฏิและหมู่บ้านนาทีกะแสดงธรรมแล้วเสด็จต่อไปยังเมืองไวศาลีโดยประทับที่อัมรปาลีวัน และทรงเทศนาโปรดนางอัมราลีที่มาเฝ้าจนได้ดวงตาเห็นธรรม
สรรคที่ 23 การปลงพระชนมายุสังขาร กล่าวถึงกษัตริย์ลิจฉวีนำโดยพระเจ้าสิงหะเสด็จมาฟังธรรมที่อัมรปาลีวันและอาราธนาพระพุทธองค์เพื่อรับอาหารบิณฑบาตในวันรุ่งขึ้น แต่เมื่อรู้ว่านางอัมรปาลีได้อาราธนาพระองค์ไว้ก่อนแล้วจึงขุ่นเคืองพระทัยเล็ยน้อยแต่ก็ระงับได้ด้วยหลักพุทธธรรม วันรุ่งขึ้นทรงรับบิณฑบาตจากนางอัมรปาลีแล้วเสด็จต่อไปยังหมู่บ้านเวณุมตี ทรงประทับจำพรรษาที่นั่นแล้วเสด็จกลับมาที่เมืองไวศาลีอีกครั้งโดยประทับที่สระมรกฏะ ขณะนั้นพญามารได้มาทูลอารธนาให้เข้าสู่นิรวาณ พระพุทธองค์ตรัสว่าอีกสาม 3 จะเข้าสู่นิรวาณ พญามารจึงอันตรธานไป ขณะนั้นแผ่นดินได้สั่นสะเทือนและเกิดความโกลาหลทั่วทุกทิศ
สรรคที่ 24 พระมหากรุณาต่อกษัตริย์ลิจฉวี กล่าวถึงพระอานันทะเห็นแผ่นดินไหวก็เกิดอาการขนลุกชูชันจึงทูลถามถึงสาเหตุ พระพุทธองค์จึงตรัสให้ทราบและทรงปลอบใจพระอานันทะ ขณะนั้นกษัตริย์ลิจฉวีพากันมาเฝ้า พระองค์ทรงทราบความคิดของกษัตริย์ลิจฉวีจึงตรัสปลอบพระทัยและเมื่อจะเสด็จจากเมืองไวศาลีพระองค์จึงรับสั่งให้กษัตริย์เหล่านั้นกลับ กษัตริย์ลิจฉวีกลับสู่พระราชวังด้วยอาการโศกเศร้า
สรรคที่ 25 ระหว่างวิถีสู่นิรวาณ กล่าวถึงเมืองไวศาลีมีความเศร้าหมองครอบคลุมไปทั้งเมือง พระพุทธองค์ทอดพระเนตรเมืองไวศาสีเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงเสด็จสู่โภคนครและตรัสให้พระสาวกทั้งหลายยึดมั่นในพระธรรมวินัย ทรงรับอาหารบิณฑบาตครั้งสุดท้ายจากนายจุนทะแล้วเสด็จต่ไปยังเมืองกุศินคร เสด็จข้ามแม่น้ำอิราวดี ทรงสนานด้วยน้ำในแม่น้ำหิรัญยวดี และเสด็จไปยังป่าสาละ ทรงรับสั่งให้พระอานันทะจัดเตรียมที่บรรทมระหว่างต้นสาละคู่เพื่อจะเข้าสู่นิรวาณในปัจฉิมยาม พระอานันทะเศร้าโศกมีน้ำตาปิดกั้นดวงตาตลอดเวลา เมื่อพระพุทธองค์ทรงบรรทมบนพระแท่นความเงียบสงบก็เข้ามาเยือน ทรงรับสั่งให้พระอานันทะไปแจ้งข่าวแก่เจ้ามัลละ เมื่อเจ้ามัลละมาเฝ้าจึงตรัสปลอบด้วยพระธรรมเทศนา จากนั้นเจ้ามัลละก็เสด็จกลับเข้าสู่เมืองด้วยความทุกข์และสิ้นหวัง
สรรคที่ 26 มหาปรินิวาณ กล่าวถึงสุภัทรปริพาชกมาขอเข้าเฝ้าแต่พระอานันทะห้ามไว้พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าและแสดงธรรมโปรดจนบรรลุอรหัตผล สุภัทระปรารถนาจะเข้าสู่นิรวาณก่อนพระพุทธองค์จึงหมอบราบลงกับพื้นและนอนแน่นิ่งไปเหมือนกับงู พระพุทธองค์จึงให้ประกอบพิธีเผาศพของสภัทระ เมื่อผ่านปฐมยามทรงแสดงธรรมโปรดภิกษุและตรัสปัจฉิมโอวาทว่าด้วยความไม่ประมาท แล้วเข้าปฐมฌานไปจนถึงสมาบัติ 9 (สมาบัติ9* มีรูปฌาน 4 อรูปฌาน 5 สัญญาเวทยิตนิโรธ1) จากนั้นจึงเข้าสมาบัติย้อนกลับโยปฏิโลมไปถึงปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้วเข้าฌานต่อไปอีกจนถึงจุตตถฌานครั้นออกจากจตุตถฌานจึงเข้าสู่มหาปรินิวาณ ขณะนั้นมีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นมากมาย ทั้งแผ่นดินไหว ฟ้าผ่า พายุพัด ทวยเทพต่างเศร้าโศก ฝ่ายพญามารและเสนามารต่างพากันลิงโลดดีใจ เมื่อสิ้นสุดพระศากยมุนีโลกจึงเศร้าหมองไปทุกหย่อมหญ้า
สรรคที่ 27 สดุดีพระนิรวาณ กล่าวถึงทวยเทพต่างสดุดีพระนิรวาณ ฝ่ายอนิรุทธะเห็นโลกถูกตัดขาดจากแสงสว่างจึงพรรณนาความเลวร้ายของสังสารวัฏ เจ้ามัลละพร้อมกันออกมาจากเมืองทั้งน้ำตาและได้อัญเชิญพระพุทธสรีระไปวางบนพระแท่นงาช้างแล้วบูชาด้วยมาลัยและประพรมน้ำหอมชั้นดี จากนั้นเคลื่อนพระบรมศพผ่านเข้ากลางเมืองแล้วออกทางประตูนาคะ ข้ามแม่น้ำหิรัณยวดี แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนพระจิตกาธานซึ่งก่อด้วยไม้หอมชนิดต่าง ๆ ใกล้กับเจดีย์มกุฏะ เมื่อได้เวลาถวายพระเพลิงจิตกาธานกลัลไม่ลุกไหม้ เพราะแรงอธิษฐานของพระกาศยปะซึ่งกำลังเดินทางมา ครั้นพระกาศยปะเดินทางมาถึงพระเพลิงก็ลูกไหม้ขึ้นเอง พระเพลิงเผาไหม้พระบรมศพเหลือเพียงพระบรมสารีริกธาตุ เจ้ามัลละชำระล้างให้สะอาดแล้วได้บรรจุลงในพรชนะทองคำและสวดบทสรรเสริญ จากนั้นจึงสร้างปะรำเป็นที่ประดิษฐานเพื่อบูชาสักการะ
สรรคที่ 28 การแจกพระบรมสารีริกธาตุ กล่าวถึงราชทูตจากนครทั้ง 7 ส่งทูตมาขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ แต่เจ้ามัลละไม่ยอม กษัตริย์ทั้ง 7 จึงกรีฑาทัพมาเพื่อแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ พราหมณ์โทรณะได้ออกมาหย่าศึกจึงไม่มีการสู้รบกัน ครั้งนั้นพระบรมสารีริกธาตุถูกแบ่งออกเป็น 8 ส่วน พราหมณ์โทรณะเก็บภาชนะแจกพระธาตุไว้ ส่วนพระสรีรังคารที่แหลือชาวปสละเก็บไว้บูชา ดังนั้นครั้งแรกจึงมีสถูปทั้งหมด 8 องค์ รวมสถูปที่พราหมณ์โทรณะสร้างและสถูปบรรจุพระสรีรังคารจึงเป็นสถูป 10 องค์ ครั้นเมื่อพระเจ้าอโศกทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนาพระองค์ทรงรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุมาจากสถูป 7 องค์แล้วแบ่งไปบรรจุในสถูป 84000 องค์ที่สร้างขึ้นใหม่ทั่วชมพูทวีป พระองค์ไม่ได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาจากสถูปองค์ที่ 8 ซึ่งอยู่ในเมืองรามปุระเพราะมีพวกนาคเผ้ารักษาไว้อย่างดี พระองค์มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าและทรงปฏิบัติบำเพ็ญธรรมจนได้บรรลุโสดาบัน ตอนท้ายของสรรคนี้ผู้รจนากล่าวถึงอานิสงส์ของการบูชาพระบรมสารีริกธาตุและการทำใจให้บริสุทธิ์และกล่าวว่าที่ท่านรจนามหากาพย์พุทธจริตขึ้นมิใช่ต้องการจะอวดความรู้หรือความชำนาญเชิงกวี แต่ต้องการแสดงหลักพุทธธรรมให้แพร่หลายเพื่อประโยชน์สุขของชาวโลกยิ่ง ๆ ขึ้นไป
คุณค่าทางศาสนา
นอกจาก มหากาพย์พุทธจริต จะมีความสละสลวยงดงามในทางกวีพจน์ และมีการบรรยายพุทธประวัติด้วยถ้อยคำสละสลวย จนเกิดความรู้สึกซาบซึ้ง ยังแฝงหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาได้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่สรรค ที่ 14 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงที่ทรงบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิยาณและทำการโปรดสัตว์โลกแล้ว ผู้รจนาได้เลือกสรรถ้อยคำอยน่างชาญฉลาด ในการบรรยายหลักธรรม และโน้มน้าวให้ผู้สดับ/อ่าน ได้เกิดความศรัทธาปสาทะในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เกิดความยำเกรงในอกุศลกรรมทั้งปวง และเร่งเร้าให้สัตว์โลกทั้งหลายได้หันมาปฏิบัติกุศลกรรม เพื่อยังให้ตนได้หลุดพ้นจากอบายภูมิ จนถึงพระนิพพานในปั้นปลาย
ในสรรคที่ 13 ผู้รจนาได้บรรยายพระดำริของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากทรงใช้พระญาณอันล้ำลึก ทอดพระเนตรเห็นการจุติและการอุบัติของสัตว์โลกทั้งหลาย ทั้งที่ทำกรรมไม่ดีและที่ทำกรรมดี ดังนี้
สุขัง สยาท อิติ ยัต กรรมะ กฤตัมง ทุห์ขะนิวฤฺตตะเย ผะลัมง ตัสเยทัม อวะไศวร์ ทุห์ขัม เอโวปะภุชยะเต
17 "กรรม(ชั่ว)ใดที่พวกเขาทำลงไปเพื่อขจัดทุกข์ ด้วยเข้าใจว่ามันเป็นสุข พวกเขาจะต้องได้รับทุกข์ซึ่งเป็นผลแห่งกรรม(ชั่ว)นั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น"
สุขารถัง อศุภัง กฤตวา ยา เอเต พฤศทุห์ขตาห์ อาสวาทะห์ สะ กิม เอเตษาง กะโรติ สุขัม อัณว์ อปิ
18 "สัตว์เหล่านั้นทำกรรมชั่วเพื่อหวังจะได้ความสุขจึงต้องรับทุกข์อย่างแสนสาหัส (ดังนั้น) ความสนุกเพลิดเพลินของพวกเขาจะสร้างความสุขแม้เพียงเล็กน้อยได้อย่างไร"
หะสัทภีร์ ยัต กฤตัง กรรมะ กะลุษัง กะลุษาตมะภิห์ เอตัต ปะริณะเต กาเล โกรศัทภีร์ อนุภูยาเต
19 "คนที่มีจิตใจหยาบช้าทำกรรมชั่วอันใดลงไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ ครั้นเมื่อกาลเวลาสุกงอมเต็มที่ เขาย่อมได้รับผลของกรรมนั้นพร้อมกับเสียงร้องไห้"
ในสรรค ที่ 15 ว่าด้วการประกาศพระธรรมจักร กวีได้พรรณนาถึงเหตุการณ์ขณะที่ทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตนสูตร อันเป็นพระธรรมเทศนาแรกแก่พระปัญจวัคคีย์ โดยทรงแจกแจงถึงหนทางที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นที่แท้จริง ดังนี้
44 "เพราะทำลายกิเลสทั้งหลายได้ สาเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดจึงดับไป และเพราะขจัดกรรมคือการกระทำได้ ทุกข์จึงหมดไป เพราะว่าสรรพสิ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยบารมี และเพราะสิ่งนั้นดับไปสรรพสิ่งจึงดับไปด้วย"
45 "จงรู้ว่าการดับทุกข์ (นิโรธ) คือสภาวะที่ไม่มีชาติ ชรา มรณะ ดิน น้ำ อากาศ หรือลมไม่มีเบื้องต้น ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นสิ่งที่ประเสริฐ ใคร ๆ ขโมยไม่ได้ เป็นความสุข และไม่มีการเปลี่ยนแปลง"
46 "อริยมรรคนี้ประกอบด้วยองค์แปด นอกจากอริยมรรคนี้แล้วไม่มีทางอื่นที่จะเป็นไปเพื่อการบรรลุความพ้นทุกข์(อริคม)มนุษย์เดินวนเวียนอยู่ในทางที่หลากหลายเป็นนิตย์ก็เพราะยังไม่เห็นอริยมรรคนี้"
47 "ดังนั้นในอริยสัจ4นี้จึงกล่าวสรุปได้ว่า ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ สมุทัยเป็นสิ่งที่ต้องละ นิโรธเป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจชัด มรรคเป็นสิ่งที่ต้องทำให้มีขึ้น"
อ้างอิง
- Willemen, Charles, transl. (2009), Buddhacarita: In Praise of Buddha's Acts, Berkeley, Numata Center for Buddhist Translation and Research, p. XIII.
- สำเนียง เลื่อมใส. (2547). หน้า 20
- University of Oslo, Thesaurus Literaturae Buddhicae: Buddhacarita Taisho Tripitaka T.192
- Sa dbaṇ bzaṇ po and Blo gros rgyal po, "Saṅs rgyas kyi spyod pa źes bya ba´i sñan dṅags chen po" (Tibetan translation of Buddhacarita), in Tg - bsTan ’gyur (Tibetan Buddhist canon of secondary literature), Derge edition, skyes rabs ge, 1b1-103b2..
- E. H. Johnston, trans. (1937)
- สำเนียง เลื่อมใส. (2547). หน้า 8
- สำเนียง เลื่อมใส. (2547). หน้า 9
- tuart H. Young. (2002).
- สำเนียง เลื่อมใส. (2547). หน้า13 - 20
- สำเนียง เลื่อมใส. (2547)
- Faculty of Humanities, University of Oslo. Buddhacarita.
- สำเนียง เลื่อมใส. (2547)
บรรณานุกรม
- Willemen, Charles, trans. (2009), Buddhacarita: In Praise of Buddha's Acts, Berkeley, Numata Center for Buddhist Translation and Research.
- University of Oslo, Thesaurus Literaturae Buddhicae: Buddhacarita Taisho Tripitaka T.192
- Sa dbaṇ bzaṇ po and Blo gros rgyal po, "Saṅs rgyas kyi spyod pa źes bya ba´i sñan dṅags chen po" (Tibetan translation of Buddhacarita), in Tg - bsTan ’gyur (Tibetan Buddhist canon of secondary literature), Derge edition, skyes rabs ge, 1b1-103b2.
- E. H. Johnston, trans. (1937), "The Buddha's Mission and last Journey: Buddhacarita, xv to xxviii", Acta Orientalia, 15: 26-62, 85-111, 231-292.
- สำเนียง เลื่อมใส. (2547). มหากาพย์พุทธจริต พุทธประวัติฝ่ายมหายานจากกวีนิพนธ์สันสกฤต. กรุงเทพมหานคร. โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.
- Stuart H. Young. (2002). Biography of the Bodhisattva A?vagho?a. Princeton, New Jersey
- Faculty of Humanities, University of Oslo. Buddhacarita. ดู http://www2.hf.uio.no/polyglotta/index.php?page=fulltext&view=fulltext&vid=77&cid=146406&mid=244532
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
phuththcrit hrux criyaaehngphraphuththxngkh mhakaphyphasasnskvt rcnaodyphraxswokhs khadwarcnakhuninrawchwngtnstwrrsthi 2 pccubnehluxxyu 28 srrkh 14 srrkhaerkehluxsmburndiinphasasnskvt swnsrrkhthi 15 thung srrkh 28 xyuinsphaphimsmburn thngni phraxswokhsphupraphnthidichchnthlksn 10 chnidinkarpraphnth xathi tristuphchnth xnusduphchnth wngssthchnth exapcchnthsikchnth epntn inpikh s 420 phrathrrmeksm aeplphuththcritinphasasnskvtepnphasacin txmainrawstwrrsthi 7 hruxrawstwrrsthi 8 idmikaraeplepnphasathiebt aelaidrbkaryxmrbwa mikhwamiklekhiyngkbtnchbbphasasnskvtmakkwachbbaeplphasacinphuaetngphuaetngmhakaphyphuththcrit khuxphraxswokhs phuidrbykyxngepnmhakwiaelaepnnkprachythimichuxesiyng khadwathanmichwngchiwitxyurahwangpikh s 80 150 thanepnbutrkhxngnangsurrnksi ekidthiemuxngsaekt aetedimnbthuxphrahmnaelaidrbkarsuksaaebbphrahmncnmikhwamechiywchayinitrephth phayhlnghnmanbthuxphraphuththsasnaodybwchepnphiksuinnikaysrwastiwath dwykhwamthithanepnthngprachyaelaepnthngkwi emuxbwchaelwcungmikhanahnachuxmakmay echn phiksu xacary phthnta mhakwi aelamhawathin phraxswokhsepnphumibthbathsakhykhnhnunginyukherimtnkhxngnikaymhayan miphlnganmakmaythngdanprchyasasna bthlakhraelakwiniphnth phlnganthisakhythangprchyaaelasasna echn sutralngkara mhayansrthothtpatha wchrsuci khnthisotrtra thiepnbthlakhr echnrasdrpala sariputrprkrnm aelathiepnkwiniphnth echnmhakaphyesanthrnnthra aelamhakaphyphuththcrit epntn nxkcakcarcnanganekhiyniwhlayelmaelwxswokhsyngedinthangthxngethiywipphrxmkbsanusisyaelankdntriephuxkhblanaxnepneruxngrawaehngphraphuththsasnaaelakhwamiraeknsarkhxngchiwitinthichumnumtang ephuxpawprakaskhunkhaxnlaelisaehngphrathrrmkhasxnkhxngphrabrmsasda chnthnghlaythisycripemuxidfngtanghyudningxyukbthiephraathuktrungiwdwynaesiyngaelathwngthanxngthiipheraacbic khrnghnung kstriyaehngaekhwnkusanaidrukranmthympraeths cnthungemuxngpatlibutr cnkstriyaehngmthympraethstxngcaykhaptikrrmsngkhramaekkstriyaekhwnkusanaepnthxngkha 300 000 ehriyy thwa kstriyaehngmthmpraethsmiephiyng 100 000 ehriyy faykusanacungeriykrxngephiyngethann aetkhaptikrrmsngkhramthitidkhangiw txngaelkepliynodykarmxbbatrkhxngphrasmmasmphuththeca kbphraxswokhs txmaehlaesnammatyekidkhwamkngkhaehtuidphraxswokhscungmikhathung 100 000 ehriyy kstriyaehngaekhwnkusanacungidkhngxswchatitwhnungiwepnewla 6 wncnhiwohy caknn cungplxyxxkma aelwwanghyachnelisiwtrnghna phrxmkbxarathnaphraxsokhsihaesdngthrrm praktwa xswchatitwnnmiidaetatxnghyachnelisaemncahiwohyephiyngid aetklbsdbphrathrrmethsnadwynatanxnghna nbaetbdnnesnamatyaelamhachntangsabsungsrththaintwphraethrayingnk cungthwaysmyyanamaekthanwa xswokhs xnhmaykhwamwa aemaetxswchatiyngtxngraihohyhwnyamsdbphrathrrmethsnakhxngthanenuxhasrrkhthi 1 phkhwt p rsuti karprasutikhxngphraphumiphraphakh klawthungphraecasuthoththnathrngkhrxngemuxngkpilwastuaelaphranangmayaphramehsikhxngphraxngkhidprasutiphrakumarthilumphiniwn phrakumarthrngdaeninid 7 kawphrxmkbprakaswachatiniepnchatisudthay khnaphrahmn thanaywaphrakumaridepnckrphrrdiaetthaxxkphnwchcaidepnphrasasda swnxsitvsithimaeyiymphayhlng thanaywaphrakumarcaidtrsruepnphrasasdaaennxn phrarachathrngepiymlndwykhwampitiyindicungidprakxbphithithangsasnaaelaphrarachthanokhcanwnmakephuxkhwamecriyrungeruxngkhxngphrakumar caknncungrbphrakumarklbsuphrankhr srrkhthi 2 xn tapurwihar karprathbxyuinphrarachwngfayin klawthungemuxngkpilwastumikhwamxudmsmburnaelamikhwamsaercthukprakarhlngcakphrakumarprasuti phraecasuthoththnacungkhnanphranamphrakumarwa srwarthsiththa emuxphramardaswrrkht phranangekhatmiphramatucchaidrbpharaeluyngduphrakumartxma phraecasuthoththnathrngekrngwaphrakumarcaxxkphnwchcungcdihxphieksmrskbecahyingyosthraaelabarungbaerxdwykamarmnthukchnid khrnemuxphrarahulprasuticakecahyingyosthra phrarachacungthrngkhlaykngwleruxngkarxxkphnwchkhxngphrakumar srrkhthi 3 sewokht pt ti karekidkhwamsngewch klawthungphrakumaresdcpraphasphaynxkphrarachwng prachachntangtunetndiic19 ethwdachnsuththawasidenrmitchaychrakhunmaihthxdphraentr phraxngkhthrngsngewchphrathycungesdcklb esdckhrngthi2 ethwdaidenrmitkhnecbkhunmathrngsngewchphrathykesdcklbxik khrngthi3 phrarachbidarbsngihaetngsthanthiphiessiwodyihhyingngamphuechiywchayechingolkiykhxytxnrb khrngniphrakumarthxdphraentrehnkhntaythiethwdaenrmitkhunmakthrngsngewchphrathy cungrbsngihklbrth aetsarthikimechuxfngkhbrthtrngipyngpathietriymiwaelahyingngamthnghlayidekharumlxmphrakumarehmuxnknnangxpsrrumlxmthawkuewr srrkhthi 3 st riwikhatn karkhcdkhwamhlngihl klawthunghyingngamthnghlayedinekhahaphrakumaraetktxngtktalunginkhwamngamkhxngphraxngkhcnlumthahnathi xuthayibutrkhxngpuorhitcungklawetuxnhyingehlann emuxidstihyingehlanncungichmayaywywnphrakumar aetphraxngkhkimthrngyindi xuthayicungkrabthulonmnawphrathydwytnexngephuxihphrakumaroxnxxnphxntamhyingehlann phrakumarthrngptiesthkhaphudkhxngxuthayidwyehtuphltang cnkrathngphraxathityxasdngkht hyingthnghlayyxmaephklbekhasuemuxng fayphrarachathrngbthraberuxngcungpruksakbxamatyephuxhawithiybyngphrakumartlxdthngkhun srrkhthi 5 xphinis krmn karesdckhxngphnwch klawthungphrakumaresdcpraphaspaaelathxdphraentrchawnaihwwithnaaelamiaemlngtayekluxnkladcungsldphrathy phraxngkhthrnghamphutidtamiwaelwesdcipprathbittnhwathrngmiphrathyepnsmathicnidpthmchan khnannethwdaaeplngrangepnsmnaedinphanma phraxngkhthrngsnthnaknsmnannaelwekidpiticungprarthnacaxxkphnwch emuxklbipkhxxnuyatkthukphrarachbidahampram inratriethwdachnxknisthkabndalihnangsnmnxnhlbimepnraebiyb phrakumarthrngebuxhnaycungesdclngcakprasathaelathrngmaknthkahnuxxkphnwchodyminaychnthkatamesdc maknthkawingxxkodymiykschwyykkibetha pratuthiaennhnaepidxxkexng thwyethphksxngaesngnathangtlxdratri maknthkanaphrakumarthayanipidhlayrxyoykhncnkrathngrungxrun srrkhthi 6 chn thkniwr tn karklbnkhrkhxngchnthka klawthungphrakumaresdcthungxasrmkhxngvsipharkhwatxnrungsangthrngepluxngekhruxngpradbaeknaychnthkaaelarbsngihnamaknthkaklbsunkhrphrxmkbnakhwamipkrabthulphrarachbida caknnphrakumarthrngtdphraeksaoynkhunbnthxngfa ethwdarbexaphraeksannipbuchabnswrrkh emuxthrngprarthnaphaphxmnafadethwdatnhnungidaeplngrangepnnayphrannungphayxmnafadphanma phraxngkhthrngaelkepliynphakbnayphranaelwesdcekhaipyngxasrmvsipharkhwa faynaychnthkarxngihaelalmfublngbnphun caknncungkxdmaknthkaedinthangklbsunkhrodybnephxaelaaesdngxakarehmuxnkhnbaiptlxdthang srrkhthi 7 topwnp rews karesdcekhasupabaephytba klawthungphrakumaresdcekhasuxasrmkhxngvsipharkhwaaelathrngidrbkarechuxechiycakvsi thrngsxbthameruxngkarbaephytbakhxngvsithnghlay emuxidrbkhaxthibaykimthrngyindidwywithiehlannephraathrngehnwaimichthanghludphn phrakumarprathbxyu 2 3 wn vsitnhnungthrabwaphrakumartxngkaromksacungaenanaihipphbphramunixratha phrakumarthrngxalavsithnghlayelwcungesdchlikip srrkhthi 8 xn tapurwilap karphilapraphnkhxngphrasnmfayin klawthungnaychnthkafunicedinthangklbsunkhrodyichewlathung 8 wn chawemuxngthrabwanaychnthkaklbmaodyimmiphrakumarcungdudawanaychnthka inphrarachwngphranangyosthrathrngphilapraphnthungphraswami phranangekhatmikthrngknaesngpancasinphrathy hyingthnghlaykkxdknrxngih phranangyosthrathrngknaesngaelalmfublngkbphun fayphrarachaesdcxxkmaehnehtukarnkthrngkasrwlcnthungaekwisyyiphaph emuxthrngfunkhunkthrngphraephxehmuxnkhnesiysti phrarachkhruaelapuorhitcungthulxasaxxktidtamphrakumar srrkhthi 9 kumaran ewsn kartidtamkhnhaphrakumar klawthungphrarachkhruaelapuorhiterngedinthangipcnthungxasrmkhxngvsipharkhwaaelaekhaipsxbtham emuxruwaphrakumaresdcmunghnaipyngxasrmkhxngphramunixrathacungxxktidtamipthnthi thngsxngtamthnphrakumarthiokhntnimaehnghnungidkrabthulihthrathrabkhawinphrarachwng phrakumartrswathithrngxxkphnwchephraaklwchra phyathi aelamrnaaelacaaeswnghathanghludphnephuxchwyehluxchawolkihid phrarachkhruaelapuorhitidthulchkchwnphrakumarklb aetphrakumarthrngptiesth emuxehnwaimsaercthngsxngcungxalaklbsuemuxngodyidaetngtngcarburusiwkhxysubesnthangthiphrakumaresdcip srrkhthi10 es rn yaphikhmn karekhaephakhxngphraecaesrnya klawthungphrakumaresdckhaaemnakhngkhaphanekhasuemuxngrachkhvhthimiphuekhathnghaaewdlxm chawemuxngtuntalungbinkhwamngamkhxngphraxngkhcungphaknchumnumtamefadu phraecaesrnyathxdphraentrehnkhnchumnumkncakebuxngbnprasathcungtrsthamcnthrabsaehtu phraxngkhcungesdcipefaphrakumarkhnphuekhapanthwaaelathrngechuxechiyihxyukhrxngrachysmbtikhrunghnung aetphrakumarthrngptiesthaelaimthrngyindi srrkhthi 11 kamwikhr hn karkhcdkhwamhlngihlinkam klawthungphrakumarophthistwthrngptiesthkhaechuxechiykhxngphraecaesrnya thrngxthibayihehnothskhxngkamaelaxanisngsinkarxxkcakkamtlxdcnkhwamprarthnaomksa phraecaesrnyathrngsabsungphrathycungkhxihphraxngkhesdcmaoprdemuxidtrsruaelw phrakumarophthistwthrngrbodydusniphaphaelwesdctxipyngxasrmiwswmtra fayphrarachakesdcklbsuphrarachwng srrkhthi12 xrththr sn thrrsnakhxngphramunixratha klawthungphrakumarophthistwesdcthungxasrmkhxngphramunixrathaaelaidrbkartxnrbxyangdi phramunixrathaidxthibaythrrsnakhxngtnaekphrakumarophthistw phrxngkhthrngehnwaimichthangtrsrucunghlukipsuxasrmkhxphramunixuthrka aetaelwkthrngptiesththrrsnakhxngphramunixuthrkaxik caknncungesdcipprathbthitablkhya n rimfngaemnainrychna thrngbaephythukkrkiriyaepnewla 6 pi odymipycwkhkhiyfaktwepnsisy emuxthrngehnwaimichthangcungelikesiy khrngnnethwdadlicnangnnthphlathidahwhnakhneliyngokhihnakhawprayasmathway pycwkhkhiyehnphraxngkheswyphrakrayaharcunghnicakphraxngkh caknnphraxngkhcungesdcipsuokhntnxswtthphvksthrngrbhyakhacakkhntdhyaaelapuladepnxasnaprathbnngtngpnithanmungsukartrsru srrkhthi 13 marwichy karchnamar klawthungphrakumarophthistwthrngtngphrathyaenwaenthicatrsru fayphyamarcungphrxmdwybutraelathidaekhaiprbkwnphrakumarophthistw emuxphraxngkhimthrnghwnihwphyamarcungyingsrekhais aetsrkmixactharayphraxngkhid phyamarcungnukthungkxngthphkhxngtn ehlaesnamarcungmaprakttw khnannthxngfamudsnith kartxsurahwangphyamarknphrakumarophthistwerimkhun ekidaephndinihw mhasmuthrsnsaethuxn nguihyehnxpusrrkhkxxkmakhufx thwyethphkrxngihhux emuxphyamarekhluxnthnekhaocmtidwywithitang phrakumarophthistwkimthrngsadungklw inthisudphyamaraelaesnamarklathxy thxngfaaelaphracnthrkswangsdis fnobkkhrphrrsathimiklinhxmkoprypraylngma srrkhthi 14 phuth tht wrp rap ti karbrrlukhwamepnphraphuththeca klawthungphrakumarophthistwthrngekhachanmungsukartrsru emuxphraxngkhbrrluphrasphphyyutyan olksnsaethuxn chawolktangkmikhwamsukh ethwdaksathukar phraxngkhprathbnngeswywimuttisukhxyu 7 wn thrngehnwaphrathrrmluksungyakthicaekhaiccungdarithicaimsngsxn phraxinthraelaphraphrhmcungmathulkhxngxarathna txmaphraxngkhthrngdarithicaipoprdphramunixrathaaelaxuthrkaaetthngsxngesiychiwitipkxncungthrngralukthungpycwkhkhiy caknncungesdcdaeninipyngaekhwnkasi srrkhthi 15 karprakasphrathrrmckr klawthungphraphuththxngkhesdcipyngaekhwnkasiephuxoprdpycwkhkhiy faypycwkhkhiyemuxehnphraxngkhesdcmaaetikl idtklngknwacaimthwaykartxnrb aetaelwklumkhxtklngthithakniw thukkhntanglukkhuntxnrbphraxngkh phraphuththxngkhtrswaphraxngkhtrsruaelw caknncungthrngaesdngxriymrrkhmixngkhaepdaelaxriyscsi incanwnnnekanthinyaiddwngtaehnthrrm yksthixasyxyubnphunpthphicungpawprakaskhaw emuxwnglxaehngthrrmhmunipinitrolk ethwdathnghlaykeplngesiyngsathukar srrkh 16 tharsrththaaehngphuththsawk klawthungphraphuththxngkhthrngethsnaoprdxswchitaelaoprdyskulbutrphrxmdwyshay 54 khncnbrrluphraxrhtphlaelwcungthrngsngipprakasphrasasnainthitang swnphraxngkhesdcipoprdvsikasypa 3 phinxngphrxmdwybriwarthitablkhyacnbrrluxrhtphlthnghmd caknncungesdcipoprdphraecaesrnyaphimphisar phrarachaesdcmaefaphrxmdwybriwar chawemuxngehnphrakasypa 3 phinxngxyukbphraphuththxngkhkaeplkic phraphuththxngkhcungoprdihphraexaruwilwakasypaaesdngpatihariy phrakasypaehaakhunsuthxngfaaesdngvththidwykaryun edin nng nxn inxakas phnnaaelaifxxkmaphrxmkn caknncunglngmathwaybngkhmaelaprakaswatnepnsaykhxngphraphuththxngkh emuxdinthuketriymiwdiaelwphraphuththxngkhcungethsnaoprdphrarachaaelabriwarcniddwngtaehnthrrm srrkh 17 karbrrphchakhxngmhasawk klawthungphraecaesrnyaphimphisarthrngthwayphraewnuwnepnphraxaramaehngaerkaedphraphuththxngkh phraxswchitekhaipbinthbatinemuxngrachkhvh xuptisyaehnphraxswchitedinsarwmnaeluxmiscungtidtamipephuxsnthnathrrm phraxswchitklawsn wa phlthukxyangekidaetehtu emuxehtudbphlkdb xuptisyaidfngkekiddwngtaehnthrrmlathinglththiedimkhxngtnaelanakhwamipbxkemathkhlokhtrphuepnshaycniddwngtaehnthrrmechnkn caknncungchwnknipefaphraphuththxngkhephuxkhxbwch phayhlngthngsxngidepnxkhrsawkkhxngphraphuththxngkh txmaphrahmnkasypaidlathingthrphyaelaphrryaxxkaeswnghakhwamhludphnidmaphbphraphuththxngkhthiecdiyphhuputrkacungnxmtnekhaipefa phraphuththxngkhthrngethsnaoprdcnbrrluxrhtphl khrngnnphraphuththxngkhprathbxyuthamklangphrasawkthng 3 ducphracnthrephylxyxyuthamklangdawvks 3 dwngineduxncheystha eduxn7 srrkhthi 18 karoprdesrsthixnathpinthitha klawthungesrsthisuthttaedinthangcakaekhwnokslipkhakhaythiemuxngrachkhvhaelaidipefaphraphuththxngkhinewlaklangkhun phraphuththxngkhthrngethsnaoprdcnesrsthiidbrrluosdapttiphl prbepliynaenwkhidcakkhwamechuxedim odyechphaaprakvtiaelapurus esrsthimisrththaprarthnacasrangphrawiharthwaythiemuxngsrawsticungthulxarathnaihphraxngkhesdcipoprd txmaesrsthiedinthangklbipemuxngsrawstiphrxmdwyphraxuptisyaephuxsrangphrawiharemuxidipthungidkhxsuxxuthyancakphrarachkumarechtaodynathrphymapuladcnetmxuthyan phrakumarechtathrngeluxmisinsrththakhxngesrsthicungxuthispathnghmdthwayphraphuththxngkhdwy esrsthisrangphraechtawnwihar odymiphraxuptisyakhwbkhumkarkxsrangcnphrawiharaelwesrcinewlaxnrwderw srrkh 19 karoprdphraphuththbidaaelaphraoxrs klawthungphraphuththxngkhesdccakemuxngrachkhvhipyngemuxngkpilwastuodymiphraphiksu 1000 ruptamesdc phraxngkhthrngaesdngthrrmoprdphraphuththbidacnthrngeluxmis mhachnaelaphrakumarthisrththatangphaknxxkphnwchtammakmay echn xanntha xniruththa ethwthtta epntn khrngnnxuthayiaelaxubalikxxkbwchtamdwy phraecasuthoththnthrngslarachsmbtiihphraxnuchapkkhrxngaelaprathbxyuinphrarachwngxyangrachvsi fayphraphuththxngkhkidesdcipprathbthipanyokhrtha srrkhthi20 karrbphrawiharechtawn klawthungphraphuththxngkhthrngoprdchawemuxngkpilwastuaelwidesdcipyngemuxngsrawstikhxngphraecapesnchitphrxmdwyphrasngkhhmuihy khrnesdcthungesrsthisuthttaidthwayphraechtawnwiharepnthiprathb phraecapraesnchitesdcipefasnthnathrrm n phraechtawnwihar thrngaesdngthrrmoprdphrarachacneluxmisxyangmak fayediyrthiykhadlaphskkaraephraaphrarachahnmanbthuxphraphuththxngkhcungthathayihaesdngpatihariy phraxngkhthrngaesdngpatihariyprabecalththithnghlayaelwidesdcipoprdphraphuththmardaaelaprathbcaphrrsabnswrrkh khnxxkphrrsaaelwcungesdclngcakethwolkthiemuxngsngkasya srrkhthi 21 saytharaehngkarbrrphcha klawthungphraphuththxngkhesdcoprdprachachn echn thrngoprdchoytiskaaelahmxchiwkthikrungrachkhvh thrngoprdphraecaxchatstruthichiwkmwn aelathrngoprdbukhkhltang insthanthitang makmay phraethwthtehnkhwamyingihykhxngphraphuththxngkhkbngekidkhwamrisyacungkhidtharayphraphuththxngkh odykarklinghinthiekhakhvthrkutaelaplxychangtkmnephuxtharayphraphuththxngkh aetkmixactharayphraxngkhid phraecaxchatstrucungbngekidkhwamesuxmisinphraphuththxngkhepnxyangying khrngnnphraekiyrtiyskhxngphraphuththxngkhidaephkhcrkhcayipthwthukthis swnphraethwthtmiaetkhwamxbecha srrkhthi 22 karesdceyuxnxmrpaliwn klawthungphraphuththxngkhesdccakemuxngrachkhvhipyngemuxngpatlibutrprathbthiecdiypatli thiaehngnnesnabdiwrskarasrangpxmprakarephuxpxngknkarrukrankhxngchawlicchwi phraphuththxngkhthxdphraentrehnthwyethphnathrphysmbtimaekbiwcungphyakrnwaemuxngnicaodngdnginxnakht emuxesdctxipcnthungfngaemnakhngkhaphraphuththxngkhidthrngnahmuphiksuehaakhamaemnakhngkha caknncungesdctxipynghmubankutiaelahmubannathikaaesdngthrrmaelwesdctxipyngemuxngiwsaliodyprathbthixmrpaliwn aelathrngethsnaoprdnangxmralithimaefacniddwngtaehnthrrm srrkhthi 23 karplngphrachnmayusngkhar klawthungkstriylicchwinaodyphraecasinghaesdcmafngthrrmthixmrpaliwnaelaxarathnaphraphuththxngkhephuxrbxaharbinthbatinwnrungkhun aetemuxruwanangxmrpaliidxarathnaphraxngkhiwkxnaelwcungkhunekhuxngphrathyelynxyaetkrangbiddwyhlkphuthththrrm wnrungkhunthrngrbbinthbatcaknangxmrpaliaelwesdctxipynghmubanewnumti thrngprathbcaphrrsathinnaelwesdcklbmathiemuxngiwsalixikkhrngodyprathbthisramrkta khnannphyamaridmathulxarthnaihekhasunirwan phraphuththxngkhtrswaxiksam 3 caekhasunirwan phyamarcungxntrthanip khnannaephndinidsnsaethuxnaelaekidkhwamoklahlthwthukthis srrkhthi 24 phramhakrunatxkstriylicchwi klawthungphraxannthaehnaephndinihwkekidxakarkhnlukchuchncungthulthamthungsaehtu phraphuththxngkhcungtrsihthrabaelathrngplxbicphraxanntha khnannkstriylicchwiphaknmaefa phraxngkhthrngthrabkhwamkhidkhxngkstriylicchwicungtrsplxbphrathyaelaemuxcaesdccakemuxngiwsaliphraxngkhcungrbsngihkstriyehlannklb kstriylicchwiklbsuphrarachwngdwyxakaroskesra srrkhthi 25 rahwangwithisunirwan klawthungemuxngiwsalimikhwamesrahmxngkhrxbkhlumipthngemuxng phraphuththxngkhthxdphraentremuxngiwsasiepnkhrngsudthay caknncungesdcsuophkhnkhraelatrsihphrasawkthnghlayyudmninphrathrrmwiny thrngrbxaharbinthbatkhrngsudthaycaknaycunthaaelwesdctipyngemuxngkusinkhr esdckhamaemnaxirawdi thrngsnandwynainaemnahiryywdi aelaesdcipyngpasala thrngrbsngihphraxannthacdetriymthibrrthmrahwangtnsalakhuephuxcaekhasunirwaninpcchimyam phraxannthaesraoskminatapidkndwngtatlxdewla emuxphraphuththxngkhthrngbrrthmbnphraaethnkhwamengiybsngbkekhamaeyuxn thrngrbsngihphraxannthaipaecngkhawaekecamlla emuxecamllamaefacungtrsplxbdwyphrathrrmethsna caknnecamllakesdcklbekhasuemuxngdwykhwamthukkhaelasinhwng srrkhthi 26 mhapriniwan klawthungsuphthrpriphachkmakhxekhaefaaetphraxannthahamiwphraphuththxngkhcungthrngxnuyatihekhaefaaelaaesdngthrrmoprdcnbrrluxrhtphl suphthraprarthnacaekhasunirwankxnphraphuththxngkhcunghmxbrablngkbphunaelanxnaenningipehmuxnkbngu phraphuththxngkhcungihprakxbphithiephasphkhxngsphthra emuxphanpthmyamthrngaesdngthrrmoprdphiksuaelatrspcchimoxwathwadwykhwamimpramath aelwekhapthmchanipcnthungsmabti 9 smabti9 mirupchan 4 xrupchan 5 syyaewthyitniorth1 caknncungekhasmabtiyxnklboyptiolmipthungpthmchan xxkcakpthmchanaelwekhachantxipxikcnthungcuttthchankhrnxxkcakctutthchancungekhasumhapriniwan khnannmiehtuxscrryekidkhunmakmay thngaephndinihw fapha phayuphd thwyethphtangesraosk fayphyamaraelaesnamartangphaknlingolddiic emuxsinsudphrasakymuniolkcungesrahmxngipthukhyxmhya srrkhthi 27 sdudiphranirwan klawthungthwyethphtangsdudiphranirwan fayxniruththaehnolkthuktdkhadcakaesngswangcungphrrnnakhwamelwraykhxngsngsarwt ecamllaphrxmknxxkmacakemuxngthngnataaelaidxyechiyphraphuththsriraipwangbnphraaethnngachangaelwbuchadwymalyaelapraphrmnahxmchndi caknnekhluxnphrabrmsphphanekhaklangemuxngaelwxxkthangpratunakha khamaemnahirnywdi aelwxyechiykhunpradisthanbnphracitkathansungkxdwyimhxmchnidtang iklkbecdiymkuta emuxidewlathwayphraephlingcitkathankllimlukihm ephraaaerngxthisthankhxngphrakasypasungkalngedinthangma khrnphrakasypaedinthangmathungphraephlingklukihmkhunexng phraephlingephaihmphrabrmsphehluxephiyngphrabrmsaririkthatu ecamllacharalangihsaxadaelwidbrrculnginphrchnathxngkhaaelaswdbthsrresriy caknncungsrangparaepnthipradisthanephuxbuchaskkara srrkhthi 28 karaeckphrabrmsaririkthatu klawthungrachthutcaknkhrthng 7 sngthutmakhxaebngphrabrmsaririkthatu aetecamllaimyxm kstriythng 7 cungkrithathphmaephuxaeyngchingphrabrmsaririkthatu phrahmnothrnaidxxkmahyasukcungimmikarsurbkn khrngnnphrabrmsaririkthatuthukaebngxxkepn 8 swn phrahmnothrnaekbphachnaaeckphrathatuiw swnphrasrirngkharthiaehluxchawpslaekbiwbucha dngnnkhrngaerkcungmisthupthnghmd 8 xngkh rwmsthupthiphrahmnothrnasrangaelasthupbrrcuphrasrirngkharcungepnsthup 10 xngkh khrnemuxphraecaxoskthrnghnmanbthuxphraphuththsasnaphraxngkhthrngrwbrwmphrabrmsaririkthatumacaksthup 7 xngkhaelwaebngipbrrcuinsthup 84000 xngkhthisrangkhunihmthwchmphuthwip phraxngkhimidnaphrabrmsaririkthatumacaksthupxngkhthi 8 sungxyuinemuxngrampuraephraamiphwknakhepharksaiwxyangdi phraxngkhmiphrarachsrththainphraphuththsasnaxyangaerngklaaelathrngptibtibaephythrrmcnidbrrluosdabn txnthaykhxngsrrkhniphurcnaklawthungxanisngskhxngkarbuchaphrabrmsaririkthatuaelakarthaicihbrisuththiaelaklawwathithanrcnamhakaphyphuththcritkhunmiichtxngkarcaxwdkhwamruhruxkhwamchanayechingkwi aettxngkaraesdnghlkphuthththrrmihaephrhlayephuxpraoychnsukhkhxngchawolkying khunipkhunkhathangsasnanxkcak mhakaphyphuththcrit camikhwamslaslwyngdngaminthangkwiphcn aelamikarbrryayphuththprawtidwythxykhaslaslwy cnekidkhwamrusuksabsung yngaefnghlkthrrmkhasxnthangphuththsasnaidmakmay odyechphaaxyangyingnbtngaetsrrkh thi 14 epntnma sungepnchwngthithrngbrrluxnutrsmmasmophthiyanaelathakaroprdstwolkaelw phurcnaideluxksrrthxykhaxynangchaychlad inkarbrryayhlkthrrm aelaonmnawihphusdb xan idekidkhwamsrththapsathainsmedcphrasmmasmphuththeca ihekidkhwamyaekrnginxkuslkrrmthngpwng aelaerngeraihstwolkthnghlayidhnmaptibtikuslkrrm ephuxyngihtnidhludphncakxbayphumi cnthungphraniphphaninpnplay insrrkhthi 13 phurcnaidbrryayphradarikhxngsmedcphrasmmasmphuththeca hlngcakthrngichphrayanxnlaluk thxdphraentrehnkarcutiaelakarxubtikhxngstwolkthnghlay thngthithakrrmimdiaelathithakrrmdi dngni sukhng syath xiti yt krrma kvtmng thuhkhaniwv ttaey phalmng tseythm xwaiswr thuhkhm exowpaphuchyaet 17 krrm chw idthiphwkekhathalngipephuxkhcdthukkh dwyekhaicwamnepnsukh phwkekhacatxngidrbthukkhsungepnphlaehngkrrm chw nnxyanghlikeliyngimphn sukharthng xsuphng kvtwa ya exet phvsthuhkhtah xaswathah sa kim exetsang kaorti sukhm xnw xpi 18 stwehlannthakrrmchwephuxhwngcaidkhwamsukhcungtxngrbthukkhxyangaesnsahs dngnn khwamsnukephlidephlinkhxngphwkekhacasrangkhwamsukhaemephiyngelknxyidxyangir hasthphir yt kvtng krrma kalusng kalusatmaphih extt parinaet kael okrsthphir xnuphuyaet 19 khnthimicitichyabchathakrrmchwxnidlngipphrxmkbesiynghweraa khrnemuxkalewlasukngxmetmthi ekhayxmidrbphlkhxngkrrmnnphrxmkbesiyngrxngih insrrkh thi 15 wadwkarprakasphrathrrmckr kwiidphrrnnathungehtukarnkhnathithrngaesdngphrathmmckkppwtnsutr xnepnphrathrrmethsnaaerkaekphrapycwkhkhiy odythrngaeckaecngthunghnthangthicanaipsukarhludphnthiaethcring dngni 44 ephraathalaykielsthnghlayid saehtuaehngkarewiynwaytayekidcungdbip aelaephraakhcdkrrmkhuxkarkrathaid thukkhcunghmdip ephraawasrrphsingyxmekidkhunephraaxasybarmi aelaephraasingnndbipsrrphsingcungdbipdwy 45 cngruwakardbthukkh niorth khuxsphawathiimmichati chra mrna din na xakas hruxlmimmiebuxngtn immithisinsud epnsingthipraesrith ikhr khomyimid epnkhwamsukh aelaimmikarepliynaeplng 46 xriymrrkhniprakxbdwyxngkhaepd nxkcakxriymrrkhniaelwimmithangxunthicaepnipephuxkarbrrlukhwamphnthukkh xrikhm mnusyedinwnewiynxyuinthangthihlakhlayepnnitykephraayngimehnxriymrrkhni 47 dngnninxriysc4nicungklawsrupidwa thukkhepnsingthitxngkahndru smuthyepnsingthitxngla niorthepnsingthitxngekhaicchd mrrkhepnsingthitxngthaihmikhun xangxingWillemen Charles transl 2009 Buddhacarita In Praise of Buddha s Acts Berkeley Numata Center for Buddhist Translation and Research p XIII saeniyng eluxmis 2547 hna 20 University of Oslo Thesaurus Literaturae Buddhicae Buddhacarita Taisho Tripitaka T 192 Sa dbaṇ bzaṇ po and Blo gros rgyal po Saṅs rgyas kyi spyod pa zes bya ba i snan dṅags chen po Tibetan translation of Buddhacarita in Tg bsTan gyur Tibetan Buddhist canon of secondary literature Derge edition skyes rabs ge 1b1 103b2 E H Johnston trans 1937 saeniyng eluxmis 2547 hna 8 saeniyng eluxmis 2547 hna 9 tuart H Young 2002 saeniyng eluxmis 2547 hna13 20 saeniyng eluxmis 2547 Faculty of Humanities University of Oslo Buddhacarita saeniyng eluxmis 2547 brrnanukrmWillemen Charles trans 2009 Buddhacarita In Praise of Buddha s Acts Berkeley Numata Center for Buddhist Translation and Research University of Oslo Thesaurus Literaturae Buddhicae Buddhacarita Taisho Tripitaka T 192 Sa dbaṇ bzaṇ po and Blo gros rgyal po Saṅs rgyas kyi spyod pa zes bya ba i snan dṅags chen po Tibetan translation of Buddhacarita in Tg bsTan gyur Tibetan Buddhist canon of secondary literature Derge edition skyes rabs ge 1b1 103b2 E H Johnston trans 1937 The Buddha s Mission and last Journey Buddhacarita xv to xxviii Acta Orientalia 15 26 62 85 111 231 292 saeniyng eluxmis 2547 mhakaphyphuththcrit phuththprawtifaymhayancakkwiniphnthsnskvt krungethphmhankhr orngphimphmhaculalngkrnrachwithyaly Stuart H Young 2002 Biography of the Bodhisattva A vagho a Princeton New Jersey Faculty of Humanities University of Oslo Buddhacarita du http www2 hf uio no polyglotta index php page fulltext amp view fulltext amp vid 77 amp cid 146406 amp mid 244532